โหดเกินมนุษย์! อดีตผู้พากษาชี้ไม่ควรลดโทษ 4 โจ๋เด็กเมืองลุง

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ www.tnews.co.th

อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา โพสต์เฟซบุ๊กข้อกฏหมายพร้อมความผิด 4 โจ๋เมืองลุง ก่อเหตุฆ่า ข่มขืน ระบุเหี้ยมโหด เลวทรามเกินกว่าคนปกติ ชี้ไม่สมควรลดโทษ  วอนสนช.โปรดพิจารณายกเลิกวรรคสองและวรรคสาม ม.18 ป.อาญา เชื่อกรณีแบบนี้ต้องเกิดขึ้นอีกในอนาคต

      
วันนี้ ( 2 ก.พ.)   จากกรณีกลุ่มวันรุ่น 4 คนลงมือก่อเหตุลวงคู่อริหนุ่มวัย 19 ไปยิงทิ้งต่อหน้าแฟนสาวแล้วขุดหลุมฝังร่าง พร้อมทั่งรุมข่มขืนแฟนสาวซึ่งกำลังท้อง 3 เดือน จากนั้นจับขึ้นรถนำไปทำร้ายร่างกายโดยใช้ก้อนหินทั้งทุบ และแทงด้วยมีด  ก่อนนำร่างไร้สติไปโยนทิ้งเหวริมถนนเขาพับผ้าสายพัทลุง-ตรัง แต่โชคดี ฝ่ายหญิงดวงยังแข็งรอดชีวิตมาได้
      

เกี่ยวกับเรื่องนี้  ล่าสุดนายชูชาติ ศรีแสง  อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกาได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค Chuchart Srisaeng เพื่ออธิบายข้อกฏหมายและบทลงโทษที่ทั้ง 4 ผู้ก่อเหตุได้กระทำ โดยระบุว่า.....
      
.....มีผู้ขอให้อธิบายข้อกฎหมายกรณีที่ผู้ชายกลุ่มหนึ่งขู่บังคับผู้ชายกับผู้หญิงซึ่งคนรักกัน 2 คน ขึ้นรถจักรยานยนต์เข้าไปในป่าแล้วมีการขุดหลุมให้ผู้ชายนั่งที่ปากหลุมและผู้ชายกลุ่มนี้ได้ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้หญิงต่อหน้าผู้ชายที่เป็นคนรักจากนั้นได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้ชายถึงแก่ความตายเอาศพฝังในหลุม ส่วนผู้หญิงได้นำตัวขึ้นรถกระบะไปแล้วใช้อาวุธปืนยิง ใช้มีดแทง และได้โยนทิ้งเหวในป่าข้างทาง ต่อมาผู้หญิงคนนั้นฟื้นขึ้นมา ได้มีคนนำส่งโรงพยาบาลและได้แจ้งให้เจ้าหน้าตำรวจทราบและได้มีการจับกุมกลุ่มผู้กระทำผิดได้บางคนแล้ว
      
.....ขอเรียนว่า ข้อกฎหมายที่จะกล่าวต่อไปนี้ เป็นการกล่าวตามข้อเท็จจริงที่ปรากฎเป็นข่าวในสื่อมวลชน ถ้าข้อเท็จจริงเปลี่ยนไปข้อกฎหมายก็ย่อมเปลี่ยนไปด้วย
      
.....การใช้อาวุธปืนขู่บังคับให้ผู้ชายกับผู้หญิงผู้เสียหายให้นั่งรถจักรยานยนต์ไปด้วย เป็นความผิดฐานทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 310 มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี
      
.....การร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้หญิงผู้เสียหาย เป็นการร่วมกระทำอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสอง มีโทษสูงสุดคือจำคุกตลอดชีวิต
      
.....การใช้อาวุธปืนยิงผู้ชายถึงแก่ความตาย โดยมีการขุดหลุมเพื่อฝังศพไว้ก่อน เป็นการฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) มีโทษประหารชีวิต
      
.....การใช้อาวุธปืนยิงและใช้มีดแทงผู้หญิงผู้เสียหาย เป็นการพยายามฆ่าผู้อื่นเพื่อปกปิดความผิดอื่นของผู้กระทำ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (8), 80 มีโทษจำคุกตลอดชีวิต
      
.....การกระทำความผิดดังกล่าวเป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน ต้องลงโทษทุกกรรมและนับโทษต่อกัน ยกเว้นถ้าศาลลงโทษประหารชีวิตในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามมาตรา 289 (4) ก็ไม่อาจลงโทษจำคุกในความผิดฐานอื่นๆ ได้อีก
      
.....โดยความเห็นส่วนตัวเห็นว่า การกระทำหรือพฤติกรรมของผู้กระทำความผิดในคดีนี้มีจิตใจเหี้ยมโหดเลวทรามเกินกว่าคนปกติธรรมดาจะกระทำได้ แม้จะให้การรับสารภาพก็ไม่ให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา เพราะมีผู้หญิงผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานที่รับฟังลงโทษผู้กระทำความผิดได้อยู่แล้ว ศาลจึงไม่ควรลดโทษให้และต้องไม่ลดโทษให้ตาม พ.ร.บ.ราชฑัณท์ ด้วย

นอกจากนี้ได้โพสต์ความเห็นเพิ่มเติมในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน โดยระบุว่า

กรณีที่ได้ให้ความเห็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับการกระความผิดดังที่ได้กล่าวไว้ในช่วงเช้าวันนี้ ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าผู้กระทำความผิดมีอายุเท่าใดแน่

.....ถ้ากลุ่มผู้กระทำความผิดคนใดมีอายุต่ำกว่า 18 ปี ก็ต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18 วรรคสองและวรรคสาม ที่บัญญัติไว้ดังนี้

.....โทษประหารชีวิตและโทษจำคุกตลอดชีวิตมิให้นำมาใช้แก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดในขณะที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี

.....ในกรณีผู้ซึ่งกระทำความผิดในขณะที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีได้กระทำความผิดที่มีระวางโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิตให้ถือว่าระวางโทษดังกล่าวได้เปลี่ยนเป็นระวางโทษจำคุก 50 ปี

.....ดังนั้นถ้าผู้กระทำความผิดคนใดมีอายุต่ำกว่า 18 ปี ศาลก็ต้องยึดถือปฏิบัติตามบทบัญญัติดังกล่าว จะหลีกเลี่ยงเป็นอย่างอื่นไม่ได้ เพราะศาลก็ต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติของกฎหมายโดยเคร่งครัด

.....ส่วนผู้กระทำความผิดคนใดมีอายุเกิน 18 ปี ศาลก็สามารถลงโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิตได้

.....อย่างไรก็ตามผู้ที่อายุต่ำกว่า 18 ปี แม้ศาลจะลงโทษได้เพียงจำคุก 50 ปี ถ้ามีการลงโทษจำคุก 50 ปี จริงๆ โดยไม่มีการลดโทษตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ ผู้ถูกจำคุกเป็นเวลา 50 ปี ก็ย่อมได้รับความทุกข์ทั้งทางกายและจิตใจมากพอสมควร แม้อาจจะไม่สาสมกับการกระทำอันโหดเหี้ยมที่ตนเองได้กระทำไปก็ตาม

.....บทบัญญัติในมาตรา 18 วรรคสองและวรรคสามดังกล่าวเพิ่งจะมีบัญญัติเพิ่มเติมขึ้นมาเมื่อปี 2546 ก่อนหน้านั้นไม่มีบทบัญญัติดังกล่าว

.....ปี 2546 มีพรรคการเมืองใดเป็นรัฐบาลและมีใครเป็นนายกรัฐมนตรี ก็คงทราบกันดีอยู่แล้ว

.....ท่านสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติทุกท่านขอได้โปรดพิจารณาว่า กรณีที่เกิดขึ้นในคดีนี้และจะต้องเกิดขึ้นอีกในอนาคต สมควรดำเนินการเสนอ
ให้ยกเลิกบทบัญญัติในวรรคสองและวรรคสามของมาตรา 18 ของประมวลกฎหมายอาญา หรือไม่ ครับ

ขอบคุณถาพจากเว็ปไซต์ผู้จัดการ

 

โหดเกินมนุษย์! อดีตผู้พากษาชี้ไม่ควรลดโทษ 4 โจ๋เด็กเมืองลุง