"บิ๊กตู่" กดปุ่มเพิ่มความเข้มแข็ง !! เทงบเข้ากองทุนหมู่บ้าน อัดงบสร้างโรงสี

ติดตามข่าวสารข้อมูล www.tnews.co.th


"สมคิด" เผยนายก เตรียมเดินทางไปกดปุ่มโครงการเพิ่มความเข้มแข็งทางศก.  ผ่านแนวทางประชารัฐ  -โดยนำเงินกองทุน อัดงบสร้างโรงสีข้าว

 

 

 

วันนี้ ( 19 ก.พ.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า   นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในวันที่ 19 ก.พ. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะเดินทางไปเป็นประธานกดปุ่มเริ่มต้นโครงการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของการทำโครงการช่วยเหลือประชาชนในระดับฐานรากโดยรัฐจะจัดสรรวงเงินผ่านกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ แห่งละไม่เกิน 500,000 บาท คิดเป็นรวมวงเงิน 35,000 ล้านบาท เพื่อให้แต่ละกองทุนนำเงินไปลงทุนทำโครงสร้างพื้นฐานในท้องถิ่นเช่น โรงสีข้าว ลานตาก ยุ้งฉาง หรือโรงงานแปรรูปสินค้าเกษตรขนาดเล็กที่เป็นประโยชน์และช่วยสร้างรายได้ให้กับชุมชนโดยรวม

 

 

 


          สำหรับการดำเนินโครงการดังกล่าว ถือเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายการสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก หรือการสร้างการเติบโตให้เกิดขึ้นจากภายในประเทศลดความเสี่ยงจากปัญหาเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวจนกระทบกับภาคการส่งออกของไทยโดยการจัดสรรเงินลงไปยังกองทุนหมู่บ้านนั้น เชื่อว่า จะเป็นแนวทางที่ดีที่สุดที่ท้องถิ่นจะได้รับประโยชน์เพราะโครงการลงทุนต่างๆ จะเกิดขึ้นจากความต้องการของท้องถิ่นอย่างแท้จริง และจะช่วยประคองเศรษฐกิจไทยในปีนี้ให้สามารถฝ่าวิกฤติที่กระทบมาจากภายนอกได้

 

 

 


          อย่างไรก็ตามนอกเหนือจากโครงการของกองทุนหมู่บ้านแล้วการประคองเศรษฐกิจไทยในปีนี้ยังมีโครงการรัฐอีกหลายโครงการที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่และจะมีเม็ดเงินทยอยลงสู่ระบบเศรษฐกิจ ทั้ง งบประมาณจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่จะลงไปพัฒนาปรับปรุงแหล่งท่องเที่ยวในชุมชนโดยมีวงเงินของท้องถิ่นสะสมไว้มากถึง 300,000 ล้านบาท งบประมาณตำบลละ 5 ล้านบาท และงบลงทุนในโครงการจัดทำระบบไอซีที 20,000 ล้านบาท ซึ่งถ้าทุกโครงการสามารถดำเนินการได้ตามแผนจะสามารถดูแลเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีแรกให้ผ่านพ้นปัญหาไปได้

 

 

 


          ขณะเดียวกันในช่วงครึ่งปีหลัง ยังมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของรัฐอีกหลายโครงการ เช่น โดยในวันที่ 29 ก.พ. นี้ โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง และสีชมพูช่วงแคราย-มีนบุรี จะเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการร่วมทุนระหว่างภาครัฐกับเอกชน (พีพีพี) เร็วกว่ากำหนด เพื่อให้เริ่มจัดซื้อจัดจ้างได้ภายในเดือน พ.ค. นี้ ขณะที่รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินก็ให้เร่งรัดเจรจากับผู้เดินรถและส่งข้อสรุปมาให้คณะกรรมการพีพีพีพิจารณาโดยเร็วเพื่อให้เศรษฐกิจมีแรงส่งจากการลงทุนด้วย

 

 

 

 


          "ระยะสั้นคงไม่ต้องทำอะไร เพราะมีโครงการของรัฐหลายโครงการที่ทำอยู่แล้ว และการใช้เงินลงไปสู่ระบบเศรษฐกิจนี้ก็ไม่ใช่การกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือการหว่านเงิน แต่ถือเป็นการขับเคลื่อนการปฏิรูปเศรษฐกิจให้เป็นกำลังในการหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจได้ และจะได้เห็นว่าเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่เป็นรัฐบาลและการบริโภคในปีนี้จะเริ่มดีขึ้น"

 

 

 

 


          ด้านนายนที ขลิบทอง ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (สทบ.) กล่าวว่า ในการเดินทางไปเปิดงานของนายกฯ ครั้งนี้ ไม่ใช่การกดปุ่มเพื่อโอนเงินลงไปยังหมู่บ้านทันที แต่จะเป็นการส่งสัญญาณถึงแนวทางช่วยเหลือด้านการส่งเสริมอาชีพของภาครัฐที่ยั่งยืนผ่านกลไกของกองทุนหมู่บ้าน ส่วนการโอนเงินนั้น กองทุนแต่ละแห่งต้องเสนอโครงการมาให้คณะอนุกรรมการพิจารณาก่อนหากพบว่ามีความเหมาะสมจะได้โอนเงินลงไปทันทีเบื้องต้นมองว่าหลังจากนายกฯ เดินทางเปิดโครงการแล้วภายในสัปดาห์ต่อไปจะเริ่มการโอนเงินได้

 

 

 


          ขณะเดียวกันในวันดังกล่าวยังเปิดตัวอาสาประชารัฐ ซึ่งเป็นความร่วมมือของภาคประชาสังคม ที่จะออกมาช่วยกันตรวจสอบการดำเนินโครงการดังกล่าวอย่างใกล้ชิดและนายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีประธานคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านจะเป็นผู้ไปชี้แจงความเข้าใจกับผู้แทนกองทุนอีกครั้งหนึ่งด้วย

 

 

 

 


          สำหรับขั้นตอนการทำโครงการนั้นหลังจากโครงการได้รับการอนุมัติจากคณะอนุกรรมการแล้วขั้นตอนต่อไปจะเป็นการโอนเงินลงไปผ่านธนาคารที่เข้าร่วมโครงการ 4 แห่ง คือ ธนาคารออมสิน ธ.ก.ส. ธนาคารกรุงไทย และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย โดยกองทุนหมู่บ้านแต่ละแห่งต้องเปิดบัญชีใหม่ชื่อว่า บัญชีประชารัฐ เพื่อแยกการบริหารจัดการออกมาจากบัญชีเดิมที่กองทุนฯ เคยเปิดกับธนาคารไว้ซึ่งจะทำให้กองทุนฯ รู้จักการจัดการบริหารงบประมาณส่วนนี้ได้อย่างถูกต้องมากขึ้น ที่สำคัญยังสามารถรองรับกรณีมีโครงการใหม่ ๆ ในลักษณะใกล้เคียงกันที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอีกด้วย.