- 11 ส.ค. 2559
ติดตามรายละเอียด deep.tnews.co.th
ถือเป็นอีกหนึ่งข่าวดีสำหรับประเทศไทย แม้จะมีความพยายามออกข่าวจากฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง ว่าการบริหารประเทศโดยรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ คสช. ที่่ผ่านมาระยะเวลาประมาณ 2 ปี ไม่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติ และสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจในระยะยาวให้กับประเทศ เมื่อล่าสุดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ได้ออกมายืนยันแล้วว่าค่าความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างประเทศ ประจำปี 2559 มีอัตราสูงสุดในรอบ 3 ปี
โดยก่อนหน้านี้กรณีของ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีต รมว.ต่างประเทศ และ แกนนำพรรคเพื่อไทย ที่ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลและคสช. รับฟังคำพูด นายกลิน ที เดวีส์ เอกอัครราชทูต สหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ซึ่งหยิบยกสถานการณ์การเมืองของไทยมาเป็นประเด็นชี้นำในเชิงกดดันให้เร่งฟื้นบรรยากาศความเป็นประชาธิปไตย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนานาชาติ
(ข้อมูลประกอบ : แนะให้ก้มหัว!!! "อ้ายปึ้ง"ขออย่ามองข้ามทูตUSA จี้รบ.-คสช.ฟังและคืนสิทธิปชช.ฟื้นความเชื่อมั่นปท.
http://deeps.tnews.co.th/contents/199496/ )
หรือเช่นกรณีของ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานนปช. ที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ ผลคะแนนการลงประชามติว่าเป็นชัยชนะจอมปลอม รวมถึงยังระบุด้วยซ้ำไปว่าถ้าประเทศอยู่ภายใต้บริหารของคสช.ไปนาน ๆ จะสร้างวิกฤตให้กับเศรษฐกิจของประเทศมากยิ่งขึ้น
(ข้อมูลประกอบ : ไปใหญ่แล้วท่านประธาน !! "จตุพร" ซัดโครมประชามติ 15 ล้านเสียงเป็นชัยชนะจอมปลอม ?? http://deeps.tnews.co.th/contents/199367/ )
แต่ข้อมูลต่อจากนี้คือความเป็นจริงที่สามารถอ้างอิงได้จาก สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ ซึ่งถือเป็นองค์กรรัฐที่ทุกประเทศให้การยอมรับ เพราะเกี่ยวเนื่องกับการตัดสินใจวางแผนการลงทุนในประเทศนั้น ๆ รวมถึงยังเป็นข้อบ่งชี้ประเทศดังกล่าวมีภาวะการลงทุนและการได้รับความเชื่อมั่นจากต่างประเทศในระดับใด
โดยข้อมูลล่าสุดได้รับการเปิดเผยจาก นายโชคดี แก้วแสง รองเลขาธิการบีโอไอ ระบุถึงผลสำรวจความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติในประเทศไทย ประจำปี 2559 จากจำนวนกว่า 600 บริษัทที่ตอบแบบสอบถามและให้สัมภาษณ์เชิงลึก พบว่า นักลงทุนต่างชาติมีความเชื่อมั่นต่อประเทศไทย โดยนักลงทุน 32.8% มีแผนจะขยายการลงทุนในประเทศไทย ซึ่งมีสัดส่วนสูงกว่าที่ได้มีการสำรวจในปี 2558 และ 2557 ที่มีสัดส่วนนักลงทุนที่ต้องการขยายการลงทุนอยู่ที่ 25.2% และ 23.5% ตามลำดับ ขณะที่นักลงทุนอีก 64.3% ยืนยันจะเดินหน้าลงทุนในไทยตามแผนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ส่วนนักลงทุนที่จะลดระดับการลงทุนในไทยลงนั้นมีสัดส่วนเพียง 2.7% เท่านั้น
โดยปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนวางแผนจะขยายการลงทุน รวมทั้งยังคงเดินหน้าลงทุนในประเทศไทยตามแผนเดิม พบว่า ปัจจัยสำคัญสามลำดับแรก คือ โครงสร้างพื้นฐานโดยรวมที่มีอยู่เพียงพอ 52.7%, การมีวัตถุดิบและชิ้นส่วนเพียงพอ 49.6% และการมีซัพพลายเออร์ที่เพียงพอ 47.7% ตามด้วยคุณภาพของระบบการขนส่งและโลจิสติกส์ 47.3%, สิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการลงทุน 46.3%
นอกจากนี้ การสำรวจยังได้สอบถามถึงการคาดการณ์ผลประกอบการในปี 2559 และปี 2560 ด้วย ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าผลประกอบการในมิติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรายได้รวม รายได้จากตลาดในประเทศ รายได้จากตลาดต่างประเทศ และผลกำไรในปี 2559 จะดีกว่าในปี 2558 รวมถึงคาดว่าในปี 2560 จะดีกว่าปี 2559 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงบรรยากาศการลงทุนและการดำเนินธุรกิจเชิงบวกในประเทศไทย