จารึกไว้ในหล้า "Queen Sirikit" ราชินีแห่งสยาม "ผู้งดงามที่สุดในโลก" (ชมภาพ)

ติดตามข่าวเพิ่มเติม http://deep.tnews.co.th/

จารึกไว้ในหล้า "Queen Sirikit" ราชินีแห่งสยาม "ผู้งดงามที่สุดในโลก" (ชมภาพ)

การเริ่มต้นชีวิตของการเป็น "พระราชินี" ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เปรียบประหนึ่งเป็นความฝัน ซึ่งแม้แต่พระองค์ท่านเองก็ยังแทบไม่เชื่อ เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์เป็นนักเรียนของโรงเรียนเซนต์ฟรังซิสซาเวียร์คอนแวนต์ ระหว่างที่ทรงศึกษาอยู่ในช่วงปีสุดท้ายนั้น ทรงเล่าให้เพื่อน ๆ ฟังว่า มีหมอดูเดินเข้าไปในบ้าน (วังเทเวศร์) และพยากรณ์ดวงชะตาของพระองค์ท่านว่า ในอนาคตจะได้เป็นถึงพระราชินี

เรื่องเล่าในครานั้นกลายเป็นเรื่องที่ทำให้บรรดาเพื่อน ๆ ต่างพากันสถาปนาด้วยอารมณ์ของเด็ก ๆ โดยเรียกขานพระนามพระองค์ท่านว่า "ราชินีสิริกิติ์" แต่สุดท้ายคำทำนายของแขกหมอดูนั้นกลับกลายเป็นเรื่องจริง เมื่อ ม.ร.ว.สิริกิติ์ อายุได้ 17 ปี และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช ทรงขอหมั้นเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2492 และทรงประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชินี ณ วังสระปทุม ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาเฉลิมพระยศสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ เป็น "สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี" เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 ต่อมาทรงได้รับสถาปนาเป็น "สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ" และนับแต่นั้นมา ทรงเป็น "นางแก้วคู่พระบารมี" เคียงข้างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาโดยตลอด ไม่ว่าจะเสด็จฯ ณ ที่แห่งใดก็ตาม

 

จารึกไว้ในหล้า "Queen Sirikit" ราชินีแห่งสยาม "ผู้งดงามที่สุดในโลก" (ชมภาพ)

พระสิริโฉมอันงดงามของสมเด็จพระราชินีแห่งประเทศไทย ได้รับคำกล่าวขานและยกย่องเมื่อสมเด็จพระนางเจ้าฯ ได้โดยเสด็จฯพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินประพาสยุโรปและสหรัฐอเมริกา หนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับในสองทวีปลงข่าวกันเอิกเกริกเกี่ยวกับความงามของพระองค์ อาทิ ไดเว็ลท์รายวันในกรุงบอนน์ ประเทศเยอรมนีตะวันตก (ในขณะนั้นยังแบ่งเป็นเยอรมนีตะวันออกและตะวันตก) ลงข่าวว่า

"ผู้มีเกียรติและบุคคลอื่น ๆ ที่ไปร่วมในพิธีการรับเสด็จต่างมีความมุ่งหมายอย่างเดียวกันคือ จะได้แลเห็นพระสิริโฉมอันงดงามของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ฉลองพระองค์สีขาวประทับเคียงข้างประธานาธิบดีลุบเก้แห่งเยอรมนี พร้อมด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงมีพระสิริโฉมเป็นเสน่ห์ราวเทพธิดา งดงาม และทรงประทับอยู่ด้วยความสง่าบนพรมผืนมหึมา แวดล้อมด้วยผู้มีเกียรติที่มาเฝ้าฯรับเสด็จ การแย้มพระสรวลของพระองค์ได้แปลงความรู้สึกของผู้ที่ได้พบเห็น จากความนับถือด้วยความสุภาพธรรมดา เป็นความรู้สึกด้วยความจริงใจ..."

 

จารึกไว้ในหล้า "Queen Sirikit" ราชินีแห่งสยาม "ผู้งดงามที่สุดในโลก" (ชมภาพ)

หนังสือพิมพ์ในกรุงลอนดอน ถวายสดุดีว่า "ทรงเป็นพระราชินีที่สดใสท่ามกลางสายพระพิรุณ" ส่วนหนังสือพิมพ์ในประเทศอิตาลี พาดหัวข่าวว่า "พระองค์ (ราชินี) มีพระชนม์ 28 แต่ดูเหมือนน้อยกว่านั้น 10 ปี" หนังสือพิมพ์ในกรุงปารีส พาดหัวข่าวว่า "ปารีสรักสิริกิติ์-พระราชินีผู้ทรงยิ้ม" อีกฉบับของฝรั่งเศส เขียนสดุดีว่า ประเทศไทยใช้อาวุธคือความงามของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ

หนังสือพิมพ์สตาร์บุลเลติน แห่งฮอนโนลูลู สดุดีว่า "สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ของไทย ทรงมีความงามประหนึ่งตุ๊กตาที่อาจชนะตำแหน่งราชินีแห่งราชินี หากมีการประกวดพระราชินีกันขึ้นทั่วโลก" ขณะที่เดลิเกทซ์ หนังสือพิมพ์อีกฉบับหนึ่งของอังกฤษ สดุดีว่า สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเป็น "พระราชินีแห่งความงาม...ทรงเป็นพระราชินีผู้มีพระฉวีวรรณล้ำเลิศ ทรงแย้มพระสรวลเสมอ ทรงมีพระเกศาและพระเนตรสีนิล" พร้อมกับคำบรรยายพระบรมฉายาลักษณ์ว่า "เราขอต้อนรับพระราชินีผู้ทรงมีพระสิริโฉมงดงาม สว่างไสว แม้แต่กลางวันที่มืดมัวก็กระจ่างแจ้งได้"

ขณะที่หนังสือพิมพ์ดิ โพลแมท ของสหรัฐอเมริกา ยกคำกล่าวของประธานาธิบดีซูการ์โน แห่งอินโดนีเซีย ที่สดุดีว่า "ทรงเป็นพระราชินีสิริโสภาที่สุดในโลก" มาลงพิมพ์ถวายพระเกียรติยศ เช่นเดียวกับในงานเลี้ยงพระกระยาหาร ณ โรงแรมเมย์ฟลาวเวอร์ ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. นักข่าวสังคมได้ถวายพระสมัญญาว่า ทรงเป็น "พระสุวรรณเทวี" (The Golden Girl) เพราะในวันนั้น พระองค์ทรงชุดไหมสีทอง บนพระอังสาทรงกลัดเข็มกลัดประดับเพชรรูปครุฑ และยังว่าดาราฮอลลีวูดสมควรยิ่งที่จะเข้าโรงเรียนสิริกิติ์ เพื่อฝึกยิ้มอย่างธรรมชาติ เพราะ "ทรงยิ้มเรียบร้อยละมุนละไม ไม่ปรากฏความเหนื่อยหน่ายแม้แต่น้อย"

เกี่ยวกับเคล็ดลับความงามนี้ สมเด็จพระนางเจ้าฯทรงเปิดโอกาสให้หนังสือพิมพ์ต่างประเทศเข้าเฝ้าฯและทูลถามได้ตามสบาย ซึ่งมีครั้งหนึ่ง นักข่าวชื่อ "เฟรเดอริคแซนด์" แห่งหนังสือพิมพ์ "ซันเดย์ไทมส์" และ "วิลมอตต์" ได้ทูลถาม และวิลมอตต์นำมาเปิดเผย ทรงมีรับสั่งว่า "...ฉันล้างหน้าด้วยน้ำสบู่บ่อย ๆ ฉันใช้สบู่จีนชนิดพิเศษ ฉันใช้เครื่องสำอางของจีนมากเหลือเกิน ฉันซื้อมาจากฮ่องกง ฉันใช้เมกอัพต่อเมื่อออกแขกเป็นทางการเท่านั้น ส่วนในเวลากลางคืนตามปกติฉันไม่ใช้อะไรเลย ใช้เมกอัพเกินไปไม่ดีเลย ของพวกนี้ทำให้ผิวหนังเสีย..."

ส่วนการแต่งฉลองพระองค์นั้น รับสั่งว่า "...ควรจะแต่งกายให้พอดีไม่มากเกินไป และควรเลือกสีสันที่แต่งกายให้เหมาะสมและเข้ากับรองเท้าด้วย การแต่งกายไม่จำเป็นต้องประดับด้วยเครื่องเพชรมากเกินไป การแต่งกายไม่ควรจะให้เกินพอดี...การแต่งตัวดีนั้นคือแต่งตัวเหมาะสมกับกาลเทศะ..." เป็นหนึ่งในเคล็ดลับที่ทำให้ทรงได้รับการยกย่องว่า เป็นผู้ที่แต่งกายดีที่สุดในโลก 1 ใน 10 คน

ในอดีตที่ผ่านมา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเคยเปิดเผยถึงเคล็ดลับที่ทำให้พระองค์มีพระวรกายงดงามอยู่เสมอว่า เป็นเพราะทรงว่ายน้ำอยู่เสมอ เคล็ดลับอันนี้พระอาจารย์ชาวฝรั่งเศสเป็นผู้ถวายคำแนะนำ ตั้งแต่ครั้งที่ทรงศึกษาอยู่ในประเทศฝรั่งเศส นอกจากนี้แล้วยังทรงมีพระจริยวัตรที่น่าทึ่ง ควรที่สุภาพสตรีจะเอาอย่างคือ ทรงโปรดการทำอาหารด้วยพระองค์เองในยามว่าง อาหารที่ทรงโปรดทำเองคือ แกงกะหรี่ไก่ย่าง และเนื้อสะเต๊ะ และทุก ๆ เช้าจะเสด็จออกไปยังสถานฝึกหัดกายบริหาร ซึ่งอยู่ภายในพระตำหนักเพื่อทรงบริหารพระองค์วันละชั่วโมงครึ่ง

 

จารึกไว้ในหล้า "Queen Sirikit" ราชินีแห่งสยาม "ผู้งดงามที่สุดในโลก" (ชมภาพ)

เบื้องหลังพระสิริโฉมอันงดงามคือ ความมุ่งมั่นตั้งพระราชหฤทัยที่ต้องการให้ชื่อประเทศไทยถูกจารึกแก่สายตาชาวโลก ซึ่งนับว่าเป็นผลสำเร็จเมื่อมีการจารึกพระนามาภิไธยในหอแห่งเกียรติคุณ ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ในฐานะที่ทรงเป็น 1 ใน 12 สุภาพสตรีที่แต่งกายงามที่สุดในโลก ทั้งนี้ นิตยสารโวค ปารีส ยังได้ลงพระฉายาลักษณ์พระองค์ท่านในหน้าแฟชั่นในเล่มเป็นจำนวนหลายหน้า

ฉลองพระองค์ของสมเด็จพระนางเจ้าฯไม่ใช่แค่เรื่องความสวยความงามเท่านั้นแต่ยังเป็น"ศักดิ์ศรี"ของประเทศ ที่สำคัญโยงไปถึงความเป็นอยู่ของราษฎรและแสดงถึงเอกลักษณ์ของความเป็นประเทศอีกด้วย ท่านผู้หญิงภรณี มหานนท์ รองราชเลขาฯในพระองค์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ผู้ถวายงานใกล้ชิดเล่าให้ฟังว่า ความจริงแล้วพระองค์ไม่ค่อยทรงโปรดทอดพระเนตรนิตยสารแฟชั่นด้วยซ้ำ แต่ทรงโปรดการอ่านเรื่องสิ่งแวดล้อมมากกว่า โดยเฉพาะในนิตยสารไทม์ หรือนิวส์วีก แต่การที่สมเด็จพระนางเจ้าฯทรงพิถีพิถันเลือกฉลองพระองค์ก็เพื่อความเหมาะสมกับงานนั้น ๆ ทรงต้องการรักษาหน้าตาประเทศไทยไม่ให้คนต่างชาติมาดูถูกได้ โดยเฉพาะการเสด็จเยือนต่างประเทศ

 

จารึกไว้ในหล้า "Queen Sirikit" ราชินีแห่งสยาม "ผู้งดงามที่สุดในโลก" (ชมภาพ)

"จะเห็นว่าจากอดีตที่ผ้าไทยรู้จักกันในวงแคบ ๆ ของชุมชนที่ผลิตใช้กันเองเฉพาะกลุ่ม แต่ด้วยความที่ทรงฉลองพระองค์ชุดผ้าไทยได้งดงามเกินบรรยาย จึงทำให้ผ้าไทยรู้จักไปทั่วโลก ทั้งหมดนี้เสมือนเป็นกุศโลบายอันแยบยล ทำให้ผ้าไทยและศูนย์ศิลปาชีพเป็นที่รู้จักในระดับสากล ช่วยชุบชีวิตชาวบ้านผ่านใยไหม และทรงเป็นเหมือนแรงบันดาลใจให้คนกลับมามองเห็นคุณค่าของผืนผ้าไทย..."

เช่นเดียวกับ หม่อมหลวงปิยาภัสร์ ภิรมย์ภักดี หรือ "คุณหญิงต้น" นางสนองพระโอษฐ์ ผู้รับใช้ใกล้ชิดสมเด็จพระนางเจ้าฯ มานับตั้งแต่มารดา-ท่านผู้หญิงวิยะฎา กฤดากร ณ อยุธยา นางสนองพระโอษฐ์ เสียชีวิตจากอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ผู้ตามเสด็จฯตกที่จังหวัดนราธิวาส คุณหญิงต้นกล่าวว่า "ทรงเป็นพระราชินีที่งามและพีกที่สุดในยุคนั้น"

"สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงพีกที่สุดในสมัยปี 1960 ระยะเวลาที่เสด็จฯต่างประเทศ 10 กว่าประเทศ ทรงได้รับการขนานนามว่าเป็นพระราชินีที่งามที่สุดในตอนนั้น ชาวต่างประเทศทุกคนก็ตื่นเต้นที่ได้เห็นพระองค์ แต่สมัยก่อนสื่อต่าง ๆ ยังไม่แรงเท่าสมัยนี้ ถ้าจะให้พูดถึงพระองค์ท่านสมัยนั้น ไม่แพ้เจ้าหญิงไดอาน่าของอังกฤษ ไปไหนผู้คนก็เลื่องลือกล่าวขานถึง เพื่อนรุ่นพ่อที่อายุ 70 กว่าเป็นคนต่างชาติยังพูดถึงจนทุกวันนี้ว่าได้ไปถวายดอกไม้ ไปโบกธงรับ"

"สมเด็จท่านทรงโปรดอะไรที่เป็นไทยอยู่แล้ว ทรงผ้าซิ่นไทย และตามเสด็จฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ใช้ผ้าไทย จนกระทั่งเสด็จฯต่างประเทศอย่างเป็นทางการ ท่านจึงให้ท่านผู้หญิงมณีรัตน์ บุนนาค คุณหญิงอุไร ลืออำรุง ซึ่งเป็นช่างฉลองพระองค์มาออกแบบชุดไทยพระราชทาน เป็นจุดเริ่มแรกที่พระราชทานแก่วงการแฟชั่น หลังจากนั้น ท่านก็ทรงชุดไทยตลอด...ท่านรับสั่งเสมอว่า คนชอบว่าฉันแต่งตัวมากมายเวลาไปหาราษฎร ทำไมไม่นึกว่าเขาเดินมาทั้งวันกว่าจะมาหาฉัน เดินมาตั้งสิบกิโล ฉันก็ตั้งใจอยากให้เขาดู ให้เขาเห็นฉันสวย..."

คุณหญิงต้นเล่าว่า ถ้าใครไปค้นหนังสือพิมพ์เก่า ๆ หรือคลิปข่าวเก่า ๆ จะเห็นว่าทรงงามมาก ดังนั้นในความคิดส่วนตัวแล้วจึงอยากจะทำงานถวาย เป็นการรวบรวมรูปภาพและแฟชั่นของพระองค์ท่าน ทำเป็นหนังสือให้คนไทยได้เห็น ได้เข้าใจง่าย ๆ เพราะคนที่ไม่ได้เก่งเรื่องนี้อาจจะไปหาดูลำบากว่าอยู่ที่ไหนบ้าง ประเทศที่เสด็จฯ และการที่สมเด็จพระนางเจ้าฯได้ไปอยู่ใน Hall of Fame เป็นผู้หญิงที่แต่งกายสวยที่สุดในโลกได้อย่างไร

"ได้ฟังว่าพระองค์ท่านทรงเป็นที่ฮือฮามาก ทรงให้ ปิแอร์ บัลแมง ดีไซเนอร์ระดับโลกออกแบบฉลองพระองค์ที่จะใส่ในการเสด็จฯอย่างเป็นทางการ เพราะไม่ทรงอยากให้มีอะไรผิดพลาด ไม่ว่าเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย มีขนบธรรมเนียมเยอะมาก เช่น ไปงานเช้าต้องใส่ถุงมือข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งไม่ใส่เพื่อจะไปจับมือคน ท่านรับสั่งว่าต้องให้ฝรั่งมาช่วยทำ เพราะว่าเราอาจจะไม่รู้ทั้งหมด"

หม่อมหลวงปิยาภัสร์ยังบอกอีกว่า "ชาร์ลส์ เดอ โกลล์" รัฐบุรุษฝรั่งเศส เคยให้สัมภาษณ์สื่อว่า ผู้หญิงที่สวยที่สุดในสายตาของท่านคือ "ควีนสิริกิติ์"

"ในยุคที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นครองราชย์ใหม่ ๆ โลกยังไม่ได้ฉาบฉวยเหมือนทุกวันนี้ การเสด็จฯเยือนต่างประเทศสมัยก่อนโก้มาก ถือว่าทรงนำชื่อเสียงมาให้ประเทศไทย ทรงเป็นพระราชาหนุ่มที่งามมาก พระราชินีก็งามมากเช่นเดียวกัน ทั้งสองพระองค์ทรงนำชื่อเสียงมาสู่ประเทศ ทรงได้รับการถวายการต้อนรับแบบที่ไม่มีกษัตริย์พระองค์ใดในสมัยนี้จะได้รับเช่นนั้น อเมริกาถึงกับปิดถนนวอลล์สตรีตถวาย พระเจ้าอยู่หัวทรงประทับรถยนต์พระที่นั่งเปิดประทุนวิ่งไปตามถนน คนบนตึกก็จะปากระดาษสีแสดงการต้อนรับ คิดดูสมัยนี้ใครจะปิดถนนวอลล์สตรีตได้ นี่คือพระบารมี ท่านทรงสง่างาม ไม่ทำให้ประเทศไทยขายหน้าใด ๆ ทั้งสิ้น การต้อนรับที่ประเทศอังกฤษก็มีผู้คนมากมาย มีการจัดพิธีอย่างใหญ่โต ท่านทรงผ่านอะไรแบบนั้นมาแล้ว จนมาสู่ยุคที่ออกประทับต่างจังหวัดปีละไม่ต่ำกว่า 7 เดือน เพราะทรงต้องการพัฒนาบ้านเมือง โดยเฉพาะสมเด็จทรงต้องการพัฒนาเรื่องผ้า นี่คือผลแห่งความโชคดีของคนไทยที่มีพระราชินีที่งามที่สุดในโลก"

 

จารึกไว้ในหล้า "Queen Sirikit" ราชินีแห่งสยาม "ผู้งดงามที่สุดในโลก" (ชมภาพ)

อีกหนึ่งความปลื้มปีติ เผ่าทอง ทองเจือ กูรูด้านวัฒนธรรมและผ้าไทย ยกย่องว่า สมเด็จพระนางเจ้าฯทรงเป็นผู้นำในเรื่องเครื่องแต่งกายสตรี ความจริงท่านไม่ได้ฝักใฝ่ด้านแฟชั่น แต่ดำเนินรอยตามพระบรมราชบุพการี คือ พระอัครมเหสีในแต่ละรัชกาลในอดีต โดยทั่วไปแล้วพระอัครมเหสีในแต่ละรัชกาลที่ผ่านมา จะเป็นผู้สร้างพระราชนิยมของพระมหากษัตริย์ในรัชกาลนั้น ๆ เพราะฉะนั้น สมเด็จพระนางเจ้าฯทรงฟื้นผ้าพื้นถิ่นในการเสด็จเยี่ยมราษฎรในปี 2498 ได้ทอดพระเนตรเห็นเครื่องแต่งกายของราษฎรทั่วประเทศ แล้วมาช่วงปี 2503-2510 เป็นช่วงที่ทรงนำเครื่องแต่งกายพื้นถิ่นรูปแบบต่าง ๆ มาเป็นฉลองพระองค์ตรง ๆ

"ท่านเคยรับสั่งว่า การเสด็จเยี่ยมราษฎรของพระองค์ท่าน ไม่รู้กี่หมื่นหมู่บ้าน เป็นการยากที่จะเสด็จฯซ้ำที่เดิม ฉะนั้นในแต่ละครั้ง ท่านจะต้องแต่งตัวให้เกียรติเจ้าภาพ และทรงเป็นเจ้านายที่เคร่งครัดเรื่องการแต่งกาย ทุกงานท่านจะแต่งฉลองพระองค์งดงามหมด"

ขณะที่ "เอก-ทองประเสริฐ" ดีไซเนอร์ไทยผู้สร้างสรรค์ผลงานระดับอินเตอร์ ได้ให้ทรรศนะชื่นชมปลื้มปีติในพระราชจริยาวัตรของสมเด็จพระราชินีของปวงชนชาวไทยว่า ทรงมีวิสัยทัศน์ที่เฉียบคมอย่างล้นเหลือในด้านการนำอุตสาหกรรมท้องถิ่นไปสู่สายตาของผู้คนทั่วโลก

"พระองค์ทรงพยายามนำผ้าไทยซึ่งเป็นวัสดุดั้งเดิมของประเทศออกสู่สากลคล้ายเป็นการตลาดให้คนรู้จักและอยากใช้ช่วยผลักดันให้ผ้าไทยไปสู่อีกระดับเช่นหลาย ๆ แบรนด์เขาทำกัน ทำไมจึงต้องให้ดาราฮอลลีวูดเป็นผู้สวมใส่ เพราะดาราเหล่านั้นมักมีสื่อเข้ามาสนใจ สมเด็จพระราชินีทรงทำแบบเดียวกัน"

สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ไม่เพียงแต่เป็น "พระราชินีที่งดงามที่สุดในโลก" เท่านั้น แต่ยังทรงเป็น "พระราชินี" ที่ประทับอยู่ในใจทวยราษฎร์ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทรงคิดหรือทรงตรากตรำพระวรกายมาตลอดพระชนมพรรษาจนกระทั่ง 84 พรรษา ไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อยก็เพื่อพสกนิกรของพระองค์แทบทั้งสิ้น

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นับแต่ทรงราชาภิเษกสมรสกับสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถแล้ว ก็ยังได้พระราชทานสัมภาษณ์แก่หนังสือพิมพ์อเมริกัน ในคราวเสด็จเยือนประเทศสหรัฐอเมริกาว่า สมเด็จพระบรมราชินีนาถเป็นที่ปรึกษาที่ดีเยี่ยมของพระองค์ และได้แบ่งเบาภารกิจไว้มาก ทั้งยังเป็น "แม่ที่ดีของลูก ๆ" อีกด้วย

ความสง่างามน่ารัก ความละมุนละม่อม ดวงพระเนตรและน้ำพระทัยอันอ่อนโยนเปี่ยมไปด้วยพระมหากรุณาธิคุณ พระกระแสเสียงไพเราะ รอยพระสรวลที่ตรึงตราประทับใจผู้คน รวมกันเป็นสมเด็จพระราชินีนาถแห่งแผ่นดินสยาม ผู้มีความงามเป็นอาวุธของประเทศสมกับคำกล่าวขานของคนต่างชาตินั่นเทียว กระนั้นแม้จะได้รับคำยกย่องสรรเสริญจากนานาชาติในฐานะ "พระราชินีผู้งดงามที่สุดในโลก" แต่สิ่งที่สมเด็จพระนางเจ้าฯทรงตระหนักมาโดยตลอด คือการประกอบพระราชกรณียกิจเพื่อช่วยเหลือราษฎรและประเทศชาติ เคียงข้างพระเจ้าอยู่หัว ทรงถูกสอนให้รู้จักคุณค่าของแผ่นดินและตอบสนองแผ่นดินด้วยการทำงาน

ดั่งที่เคยรับสั่งว่า "...เมื่อแต่งงาน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ทรงสอนตลอดมาว่า แผ่นดินนี้มีคุณ มีบุญคุณแก่ชีวิตของพวกเรามากมายนัก เพราะฉะนั้น ชีวิตที่เกิดมานี้อย่าได้ว่างเปล่า..."