อ่านแล้วถึงกับน้ำตาซึม...๗๐ปีกับ "ข้อเท็จจริง"บางประการ ที่คุณ(อาจ)ลืม!

ติดตามเรื่องราวดี ๆ อีกมากมายได้ที่ http://panyayan.tnews.co.th

อ่านแล้วถึงกับน้ำตาซึม...๗๐ปีกับ "ข้อเท็จจริง"บางประการ ที่คุณ(อาจ)ลืม!

 

“อุณหภูมิหัวใจ” คนไทยในเวลานั้นเริ่มคุกรุ่น และยิ่งทวีความรุ่มร้อนขึ้นทุกที...

สาเหตุเพราะในช่วงเวลาเดียวกับที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประชวรอยู่ที่ต่างแดน ได้เกิดกระแส “ข่าวลือ” ขึ้นว่า เหตุการณ์รถพระที่นั่งของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวชนกับรถบรรทุกในครั้งนี้ มิใช่ “อุบัติเหตุ” แต่เกิดขึ้นโดยเล่ห์ทางการเมืองของบุคคลคณะหนึ่ง!

แต่หลังจากที่หลวงดิฐการภักดี อุปทูตประจำสวิตเซอร์แลนด์ ได้รายงานเผยแพร่เหตุการณ์ในคืนที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของไทยทรงประสบอุปัทวเหตุ ว่าสาเหตุนั้นเป็นเพราะรถบรรทุกคันที่ขับอยู่ด้านหน้าหยุดกึกลงอย่างกะทันหัน เพื่อให้ทางแก่จักรยานตามที่ตำรวจจราจรให้สัญญาณ และประจวบกับมีรถยนต์อีกคันหนึ่งขับสวนขึ้นมาและเปิดไฟหน้าสว่างจ้า จึงทำให้พระเนตรพร่า กระทั่งชนโครมเข้ากับรถบรรทุก... ดังที่กล่าวถึงในเบื้องต้นแล้วนั้น

จากการรายงานของอุปทูตประจำประเทศสวิตเซอร์แลนด์ดังกล่าวนี้เอง ทำให้ทางฝั่งเมืองไทยต้องจัดให้มีการประชุมคณะรัฐมนตรีขึ้นเป็นการด่วนพิเศษที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเช้าวันจันทร์ที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๔๙๑ เพื่อพิจารณาหารือในรายงานฉบับนั้น โดยหลังจากการประชุมด่วนพิเศษของคณะรัฐบาลผ่านไป ในที่สุดคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ออกแถลงการณ์เพื่อให้ประชาชนได้ทราบข้อเท็จจริง และรายละเอียดที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประสบอุปัทวเหตุครั้งนี้ เพื่อป้องกันมิให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิดว่า อุปัทวเหตุครั้งนี้เกิดขึ้นโดยเล่ห์ทางการเมืองของบุคคลคณะหนึ่งตามที่ได้มีข่าวแพร่โดยทั่วไปอยู่ในขณะนั้น และแถลงการณ์ของรัฐบาลฉบับดังกล่าวก็ได้ปฏิเสธข่าวลือนี้ ว่า... “ไม่มีมูลความจริง” ด้วย

อ่านแล้วถึงกับน้ำตาซึม...๗๐ปีกับ "ข้อเท็จจริง"บางประการ ที่คุณ(อาจ)ลืม!

เป็นอันว่า กระแสข่าวอันชวนตระหนกดังกล่าวได้รับการยืนยันจากคณะรัฐบาลว่า เป็น “ข่าวลือ”

แต่ยังมี “ข้อเท็จจริง” ประการหนึ่ง ที่คนไทย (ซึ่งยังไม่ทราบ) ควรได้รับทราบ

            ทั้งนี้ เพื่อกระตุ้นเตือนจิตใจให้ประชาชนชาวไทยพึงรำลึกไว้เสมอว่า...พระบาทสมเด็จพระเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระเมตตาต่อพสกนิกรชาวไทยมากมายแค่ไหน และพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อชาวไทยและแผ่นดินไทยนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด...

           นั่นคือ “ข้อเท็จจริง” เกี่ยวกับ “พระเนตรขวา” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว!

           นับตั้งแต่วันที่ ๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๑ ที่พระองค์ท่านทรงเข้ารับการผ่าพระเนตรจากเหตุการณ์รถยนต์พระที่นั่งชนกับรถบรรทุกในครั้งนั้น และการผ่าตัดก็เป็นผลสำเร็จกระทั่งพระองค์ท่านสามารถเสด็จฯ กลับพระตำหนักวิลล่าวัฒนาได้ในวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน...ครั้งนั้น ตามข่าวรายงานว่า คณะแพทย์ได้รับความพอใจในผลของการผ่าตัดครั้งนี้ เพราะนับว่าอาการของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอยู่ในเกณฑ์ดี

อย่างไรก็ตาม หนังสือพิมพ์ “นครสาร” ฉบับประจำวันที่ ๒๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๙๒ เสนอข่าวพิเศษจากผู้สื่อข่าวประจำโลซานน์ว่า พระเนตรของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวดีขึ้นมากแต่ยังฝ้าฟางอยู่ และได้ทดลองเสด็จฯ ไปศึกษา ณ สถานศึกษาในวันหนึ่ง แต่ปรากฏว่าทรงปวดพระเศียร แพทย์ประจำพระองค์จึงถวายคำแนะนำให้หยุด ทั้งนี้ เมื่อยังทรงพระเยาว์อยู่นั้นเคยหกล้มถูกไม้ตำพระเนตรข้างเดียวกันนี้มาครั้งหนึ่งแล้ว จึงส่งผลสะท้อนมาถึงอุปัทวเหตุครั้งนี้ด้วยเป็นอย่างมาก แม้ว่าในส่วนพระพักตร์นั้นแพทย์จะสามารถถวายการรักษาได้อย่างดียิ่งจนกระทั่งปราศจากรอยแผลแม้แต่น้อยก็ตาม

ในช่วงเวลานั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงได้รับความเจ็บปวดทรมานพระวรกายเพียงใดนั้นหรือ?

ในระยะแรกของการผ่าพระเนตรนั้น...

“...แพทย์ยังไม่ยอมให้ทรงใช้พระเนตร เพราะเกรงว่าจะได้รับการกระทบกระเทือน เป็นเหตุที่จะทำให้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จำต้องหยุดการศึกษาต่อไปชั่วคราว และระหว่างนี้จะทรงพระอักษรไม่ได้ แพทย์ขอให้พระองค์ทรงดำรัสแต่น้อย และไม่ควรเสด็จฯ ไปไหนเพื่อป้องกันมิให้
พระเนตรที่ประชวรได้รับความกระทบกระเทือน” (พลโท หลวงเสรีเริง-
ฤทธิ์ แถลงเมื่อ วันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๔๙๑)

 

อ่านแล้วถึงกับน้ำตาซึม...๗๐ปีกับ "ข้อเท็จจริง"บางประการ ที่คุณ(อาจ)ลืม!

จากนั้น...

“...ทรงดีขึ้นเป็นลำดับ แพทย์ได้ถอดผ้าปิดพระเนตรข้างขวาออกให้ฉลองพระเนตรสีมัวเพื่อให้ค่อยๆ ชินขึ้นเป็นลำดับ ต่อมาในปลายเดือนให้ฉลองพระเนตรปกติ ทอดพระเนตรเห็นชัดขึ้นทรงเล่นดนตรีได้พอสมควร เวลาอากาศดีเสด็จประพาสโดยรถยนต์ หรือดำเนินเล่นช้าๆ ได้ ระวังไม่ให้ออกกำลังมากเกินไป” (คณะรัฐบาลแถลง (จากรายงานที่ได้รับ) เมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๔๙๒)

และหลังจากนั้น...

“...ขณะที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สามารถจะทรงพระอักษรด้วยพระเนตรทั้งสองข้างได้แล้ว แต่สิ่งที่พระองค์รู้สึกว่าลำบากพระราชหฤทัย ก็คือ นายแพทย์ถวายความเห็นห้ามมิให้เล่นกีฬาออกแรงหนัก ฉะนั้น เทนนิสและสกีซึ่งเป็นกีฬาที่ทรงโปรด จึงต้องทรงงดในระหว่างที่รักษาพระเนตรนี้ พระองค์กำลังทรงศึกษาวิชากฎหมาย เศรษฐกิจ และการเมือง ณ มหาวิทยาลัยโลซานน์ แม้ว่าอาการของพระเนตรจะดีขึ้น แต่เมื่อพระองค์ได้ทรงเตรียมปาฐกถาก็ต้องทำให้พระองค์ปวดพระเศียรไปหลายวัน และนายแพทย์ประจำพระองค์ก็ถวายความเห็นว่า ถ้าพระองค์ได้ทรงพักผ่อนเสียขณะนี้พระอาการก็จะดีขึ้น” (หลวงประเสริฐราชไมตรี (ให้สัมภาษณ์แก่ผู้สื่อข่าว เอ.พี.) จาก หนังสือพิมพ์ “ธรรมาธิปัตย์” ฉบับประจำวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๔๙๒)

 

ตลอดเวลาที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประชวรอยู่นั้น ข่าวจากวงการใกล้ชิดแจ้งว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชกระแสรับสั่งให้มีหนังสือแจ้งมายังผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ว่า...ทรงตั้งพระราชหฤทัยที่จะเสด็จฯ นิวัตประเทศไทยตามคำขอของรัฐบาลเสมอ หากแต่นายแพทย์ประจำพระองค์ซึ่งได้ถวายการรักษาพยาบาลมาตั้งแต่ครั้งทรงประสบอุปัทวเหตุได้ถวายความเห็นว่า ยังไม่สมควรเสด็จฯ ทางไกล ด้วยเกรงว่าพระองค์จะต้องประสบกับการเปลี่ยนแปลงของอากาศโดยฉับพลัน ทำให้พระอาการที่ดีขึ้นเป็นลำดับอยู่ในขณะนี้ อาจจะกลับทรุดลง และพระเนตรทั้งสองข้างซึ่งทอดพระเนตรได้โดยกระจ่างชัดปกติแล้ว อาจจะทรุดลงถึงพิการได้ โดยไม่มีโอกาสถวายความช่วยเหลือได้ทันท่วงที โดยแพทย์เห็นต่อไปว่าจะต้องใช้เวลาอีกประมาณ ๖–๗ เดือน จึงจะสามารถวินิจฉัยพระอาการ และถวายคำแนะนำได้แน่นอนว่าสมควรจะเสด็จนิวัตประเทศไทยได้หรือไม่

แม้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้แพทย์ตรวจโดยละเอียดอีก ถึงกระนั้น แพทย์ก็ยังยืนยันถวายความเห็นเดิม

แต่แล้ว...ภายหลังจากนั้น ก็ทรงมีพระอาการแทรกซ้อนจากการผ่าตัดขึ้น...

แม้ว่าแพทย์ได้พยายามอย่างเต็มความสามารถที่จะถวายการรักษา แต่พระอาการก็ไม่ดีขึ้น แพทย์จึงได้ถวายการแนะนำให้พระองค์ทรงพระเนตรปลอมในที่สุด

 

นับตั้งแต่ทรงประสบอุปัทวเหตุเมื่อคราวนั้น ตราบจนถึงวันนี้ (พ.ศ. ๒๕๕๕) ๖๔ ปี ผ่านมาแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้ “พระเนตรซ้าย” เพียงข้างเดียว ในการทรงงาน บำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ราษฎรของพระองค์ ทรงทุ่มเทกำลังพระวรกาย กำลังพระราชหฤทัย ตลอดจนกำลังพระสติปัญญาและพระปรีชาสามารถทั้งหมด...เพื่อคนไทยและเพื่อแผ่นดินไทย จนสุดพระกำลังความสามารถของพระองค์

อ่านแล้วถึงกับน้ำตาซึม...๗๐ปีกับ "ข้อเท็จจริง"บางประการ ที่คุณ(อาจ)ลืม!

นั่นคือ “ข้อเท็จจริง” ประการสำคัญ ที่ประชาชนคนไทยผู้ได้รับทราบแล้ว พึงสำนึกในพระเมตตาและพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน

และพึงภาคภูมิใจเถิดว่า...

เราทุกคนโชคดีเป็นล้นพ้นแล้ว...ที่ได้เกิดเป็นคนไทย ภายใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารแห่งองค์พระมหากษัตริย์ผู้มีน้ำพระราชหฤทัยที่ประเสริฐยิ่งพระองค์นี้

 

อ่านแล้วถึงกับน้ำตาซึม...๗๐ปีกับ "ข้อเท็จจริง"บางประการ ที่คุณ(อาจ)ลืม!