- 11 ก.ย. 2559
ติดตามรายละเอียด deeps.tnews.co.th
เงียบหายไประยะหนึ่งกับการนำสืบข้อเท็จริงเกี่ยวกกับการทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทรในยุครัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ล่าสุด นายณรงค์ รัฐอมฤต กรรมการป.ป.ช ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง โครงการทุจริตบ้านเอื้ออาทร ได้เปิดเผยถึงความคืบหน้าการดำเนินการว่า คดีนี้ตนรับช่วงต่อจากนายประสาท พงษ์ศิวาภัย อดีตกรรมการป.ป.ช. โดขณะนี้ได้สรุปสำนวนคดีดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว ก่อนนำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการป.ป.ช.ชุดใหญ่หรือไม่ภายในสิ้นเดือนก.ย.นี้ หรืออย่างช้าน่าจะไม่เกินเดือนต.ค. ทุกอย่างคงจะมีความชัดเจนมากขึ้น
ทั้งนี้สำนวนที่เกี่ยวกับการทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทร ในส่วนของตนรับผิดชอบเพียงสำนวนเดียว คือในส่วนที่เกี่ยวข้องกับนายวัฒนา เมืองสุข อดีตรมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ตามที่คตส.ส่งมา แล้วทางอัยการมีความเห็นมาเพิ่มเติม ซึ่งไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าเป็นประเด็นใด
นายณรงค์ กล่าวว่า เมื่อสรุปสำนวนเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการป.ป.ช.แล้วจะชี้มูลความผิดเลยหรือไม่ ยังตอบไม่ได้ ขึ้นอยู่กับหลักฐานว่าเพียงพอหรือไม่ ซึ่งก็สัมพันธ์กับการดำเนินการฟ้องร้องว่าจะเร็วหรือช้าอยู่ที่ข้อเท็จจริงตรงนั้น แต่ถ้าที่ประชุมไม่มีข้อสงสัยก็จะเร็ว หรือถ้าคิดว่าหลักฐานเพียงพอก็สามารถดำเนินการได้ทันที
ทั้งนี้คดีดังกล่าว นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) (ในขณะนั้น) ได้เคยแถลงว่า ที่ประชุม ป.ป.ช. มี มติส่งเรื่องการกล่าวหานายวัฒนา เมืองสุข อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กับพวก ทุจริตต่อหน้าที่ราชการกรณีเรียกรับเงินจากผู้ประกอบการเอกชนในการจัดซื้อ จัดจ้างโครงการบ้านเอื้ออาทร ของการเคหะแห่งชาติ ให้สำนักงานอัยการสูงสุดดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
“การพิจารณาของปปช.เป็นไปตามข้อมูลเดิมที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เคยนำส่งสำนวนไต่สวนเรื่องดังกล่าวให้อัยการสูงสุดดำเนินการฟ้องต่อศาลฎีกาฯ แต่สำนักงานอัยการสูงสุดเห็นว่า สำนวนการไต่สวนคดีนี้ยังมีข้อไม่สมบูรณ์เพียงพอที่จะฟ้องคดีได้ จึงส่งเรื่องมาให้ ป.ป.ช.ตั้ง คณะทำงานร่วมกับสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อพิจารณารวบรวมหลักฐานที่ไม่สมบูรณ์ให้เกิดความสมบูรณ์ จนกระทั่งคณะทำงานร่วมรวบรวมหลักฐานได้สมบูรณ์แล้ว จึงยื่นเรื่องให้อัยการสูงสุดฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรง ตำแหน่งทางการเมืองต่อไป”