สุดปลื้มปีติ...เรื่องเล่าหาอ่านยาก!...จากช่างภาพสมัครเล่นส่วนพระองค์...ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

ติดตามเรื่องราวดีๆ อีกมากมายได้ที่ http://panyayan.tnews.co.th

พบบทสัมภาษณ์พิเศษ จำนงค์ ภิรมย์ภักดี ประธานกรรมการบริษัทบุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ผู้สืบทอดตำนาน “สิงห์สีทองผ่องอร่าม” ถวายงานใกล้ชิด คนนอกวังมิเคยถวายงานใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทอย่างที่ไม่ค่อยมีผู้รู้กันเท่าไหร่
บุรุษนาม จำนงค์ ภิรมย์ภักดี เป็นที่เคารพยกย่องในฐานะประธานกรรมการบริษัทบุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด แต่อีกด้านหนึ่งบทบาทหน้าที่ซึ่งยังความปลาบปลื้มใจเป็นล้นพ้นมาสู่ผู้สืบตำนานสิงห์สีทองผ่องอร่ามท่านนี้ คือการถวายงานรับใช้ใกล้ชิดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ผู้ทรงเป็นคู่พระมิ่งขวัญเหนือเกล้าชาวไทยทุกหมู่เหล่า
“ผมมีโอกาสได้เข้าเฝ้าใกล้ชิดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ครั้งแรกเมื่อคราวบริษัทบุญรอดฯ ได้บริจาคเงินสร้างอาคารใหม่สวนอัมพร เมื่อสามสิบกว่าปีก่อนซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยมีใครรู้กันเท่าไรนัก ในวันที่มีงานเลี้ยงเปิดอาคาร นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งนักที่ทั้งสองพระองค์ทรงอนุญาตให้ผมร่วมโต๊ะเสวย ในระหว่างเสวยพระกระยาหารค่ำก็มีรับสั่งอย่างเป็นกันเอง โดยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ทรงเอ่ยชวนว่า ‘ปีนี้ไปเชียงใหม่ด้วยกันนะ’ เนื่องจากในช่วงฤดูหนาวประมาณเดือนธันวาคม ทั้งสองพระองค์จะ
เสด็จฯ แปรพระราชฐานไปยังพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์เป็นประจำ”
คุณจำนงค์ได้เปิดรั้วบ้านย่านเอกมัยให้เราเข้าไปสัมผัสเรื่องราวที่น้อยคนนักได้รู้ความเป็นมาเป็นไป ก่อนที่เขาจะได้เป็นหนึ่งในช่างภาพที่บันทึกพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไว้มากมาย
“ผมสะสมกล้องถ่ายภาพมานานมากแล้ว ตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ที่ประเทศอังกฤษ แต่ผมไม่เคยเรียนถ่ายภาพ อาศัยว่าชอบดูภาพในนิตยสารฝรั่ง แล้วก็เรียนรู้จากการทดลองถ่ายเองมาเรื่อยๆ ผมชอบถ่ายภาพพอร์เทรตมากที่สุด แต่ภาพวิวทิวทัศน์ก็ชอบเหมือนกัน ทุกวันนี้มีกล้องอยู่เยอะมาก จนบอกไม่ได้ว่ากี่ตัว ที่ไม่ได้เอาออกมาโชว์ตรงนี้ก็มีนะ เพราะว่าตู้ใส่ไม่พอ” คุณจำนงค์ชี้มือไปยังตู้กระจกใสที่บรรจุกล้องไว้หลากรุ่นหลายยี่ห้อ บ่งบอกถึงความหลงใหลที่เขามีต่อการถ่ายภาพ
“เสน่ห์ของการถ่ายภาพในความรู้สึกของคุณจำนงค์คืออะไร” เราเอ่ยถามในขณะที่สายตาของเจ้าของบ้านยังมิอาจละจากอุปกรณ์ถ่ายภาพที่วางเรียงรายเต็มตู้
“เสน่ห์อยู่ตรงที่ผลงาน เราจะรู้สึกภูมิใจเวลาเห็นภาพที่ถ่ายออกมาดี” ชายวัยแปดสิบกว่าปียิ้มเพียงเล็กน้อยที่มุมปาก ทว่าสะท้อนถึงความภาคภูมิใจที่เขามีต่อผลงานของตนเองอยู่เต็มเปี่ยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระบรมฉายาลักษณ์ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดฝีมือการฉายของเขายิ่งนัก
“ครั้งที่ผมได้ตามเสด็จฯ ไปเป็นแขกของพระองค์ท่าน ณ พระตำหนักภูพิงคฯ เป็นครั้งแรกที่ผมมีโอกาสฉายพระบรมฉายาลักษณ์ของพระเจ้าอยู่หัว ใหม่ๆ ก็รู้สึกเกร็งเหมือนกัน(ยิ้ม) แต่ตอนหลังก็เริ่มผ่อนคลายมากขึ้นเพราะพระเจ้าอยู่หัวทรงพอพระราชหฤทัยในผลงานของผม แล้วพระองค์ท่านเองก็โปรดการถ่ายภาพมาก โดยภาพที่พระองค์โปรดที่สุดคือพระบรมฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ภาพของราษฎรรวมถึงภาพทิวทัศน์ที่ทรงบันทึกไว้ในระหว่างเสด็จเยี่ยมราษฎรด้วย

สุดปลื้มปีติ...เรื่องเล่าหาอ่านยาก!...จากช่างภาพสมัครเล่นส่วนพระองค์...ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
 

พระองค์ท่านมีพระราชปฏิสันถารแลกเปลี่ยนเรื่องการถ่ายภาพกับผมอยู่บ่อยครั้งแล้วก็มีหลายครั้งที่นำภาพฝีพระหัตถ์กับภาพที่ผมถ่ายมาทอดพระเนตรเปรียบเทียบกัน ซึ่งผมเองก็ได้เรียนรู้จากพระเจ้าอยู่หัวในหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการให้แสงหรือการจัดไฟในลักษณะต่างๆ
...พระองค์ท่านเคยรับสั่งกับผมอยู่นานประมาณ ๒ ชั่วโมง ในห้องทรงงานที่ตำหนักภูพิงคฯ ในห้องนั้นมีแผนที่ทางอากาศเต็มไปหมดแล้วพระองค์ท่านก็ประทับกับพื้นอย่างไม่ถือพระองค์ ผมกับภรรยา (คุณหญิงสุภัจฉรี ภิรมย์ภักดี) ก็นั่งกับพื้นด้วย กระทั่งมีมหาดเล็กเข้ามากราบทูลว่า พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ มารอเข้าเฝ้า ผมมารู้ในภายหลังว่าพลเอกเปรมท่านถามทหารว่า ‘ใครมาเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัว?’ พอทหารตอบว่า ‘คุณจำนงค์ ภิรมย์ภักดี ขอรับ’ ท่านก็บอกว่า ‘โอเคๆ เข้าใจแล้ว’”
หัวเรือใหญ่แห่งบุญรอดฯ หัวเราะด้วยความเปรมปรีดิ์ ก่อนจะเล่าถึงพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์ผู้ทรงงานหนักที่สุดในโลก ซึ่งเขามีโอกาสได้เห็นเป็นบุญตา
“เวลาที่พระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ไปประทับที่จังหวัดเชียงใหม่ไม่ได้เสด็จฯ ไปทรงพักผ่อนพระวรกาย แต่พระองค์ท่านทรงใช้โอกาสนั้นในการเยี่ยมเยียนราษฎรเพื่อจะได้ทรงทราบถึงปัญหาและทรงช่วยวางแนวทางแก้ไข เวลาเสด็จฯ ทางรถยนต์พระที่นั่งในขบวนก็จะมีรถของผมขับตามไปด้วย หรือหากเป็นท้องถิ่นทุรกันดารที่ถนนยังตัดไปไม่ถึง ก็จะเสด็จฯ โดยเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่ง โดยจะมีประมาณ ๔ ลำ พระองค์ท่านจะประทับลำแรกลำต่อมาเป็นของทหารองครักษ์ แพทย์และเจ้าหน้าที่ต่างๆ ส่วนผมและแขกท่านอื่นๆ ของพระองค์ท่านจะเดินทางเป็นลำที่สาม
...ในแต่ละครั้งที่ตามเสด็จฯ ไปเยี่ยมราษฎร ผมมีโอกาสได้ฉายพระบรมฉายาลักษณ์ขณะทรงงานไว้เยอะมาก ทั้งจังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดเชียงราย จังหวัดแม่ฮ่องสอน และจังหวัดนราธิวาส สมัยนั้นจะเป็นการทรงงานโครงการหลวงเสียเป็นส่วนใหญ่ เห็นแล้วก็ซาบซึ้งใจว่าพระองค์ท่านเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงงานเพื่อประชาชนจริงๆ กว่าจะได้เสวยพระกระยาหารกลางวันบางครั้งก็ประมาณสี่ห้าโมงเย็น โดยมักจะเป็นข้าวห่อเมนูง่ายๆ อย่างเช่นผัดกระเพราไข่ดาว ๒ ใบ พระองค์ประทับเสวยที่ข้างถนนซึ่งมีฝุ่นจับฉลองพระองค์เป็นสีแดงไปหมด ไม่ได้ทรงสะดวกสบายตามอย่างที่พระราชาควรจะเป็น”
นอกจากจะเป็นเกียรติเป็นศรีแก่ตนเองที่มีโอกาสได้เห็นการทรงงานของพระเจ้าอยู่หัวผู้เป็นที่รักยิ่งของปวงชนแล้ว คุณจำนงค์ยังมีความรู้สึกปลื้มปีติเกินกว่าจะอธิบาย เนื่องจากพระบรมฉายาลักษณ์ฝีมือของเขาล้วนเป็นผลงานสุดพิเศษ บางภาพไม่มีโอกาสได้เห็น นอก
เสียจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระ
บรมราชินีนาถเท่านั้น
“หลังจากกลับมาจากจังหวัดเชียงใหม่ในครั้งนั้น พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงเชิญผมให้เข้าเฝ้าในวังทุกครั้งที่มีงานเลี้ยง มีอยู่ครั้งหนึ่งเจ้าหน้าที่ในวังโทรมาหาผมประมาณบ่ายสองโมง บอกว่าสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ รับสั่งให้เข้าไปช่วยถ่ายภาพในวัง ตอนนั้นผมกำลังทำ
งานอยู่ที่บริษัทบุญรอดฯ แต่อุปกรณ์ถ่ายภาพทั้งหมดอยู่ที่บ้านนี้ คิดว่าคงไปไม่ทันแน่ๆ แต่เขาก็โทรมาบอกอีกว่ารับสั่งให้ไปให้ได้ ผมจึงขับรถกลับมาเอาของแล้วก็ขอให้รถตำรวจช่วยขับนำไปเพื่อจะได้เร็วขึ้น แต่ปรากฏว่าไม่มีรถตำรวจว่างอยู่เลย สุดท้ายจึงมีตำรวจจราจรแก่ๆ ขับรถเก่าๆ นำไปที่วังสวนจิตรลดา แต่ความจริงแล้วต้องไปที่พระบรมมหาราชวัง (หัวเราะ)
...กว่าจะไปถึงพระเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ก็เสด็จฯ ลงมายังท้องพระโรงแล้ว โดยทั้งสองพระองค์ฉลองพระองค์เต็มยศ เนื่องจากมีช่างภาพชาวต่างชาติมาทูลเกล้าฯ ขอฉายพระบรมฉายาลักษณ์ พอผมไปถึงเห็นเขาตั้งกล้องตั้งไฟเสร็จแล้วแต่ยังไม่ถ่าย ปรากฏว่าเป็นเพราะไฟไม่ติด ผมจึงต้องรีบตั้งไฟของตัวเอง เอาไปทั้งหมด ๓ ดวง ติดหมดทุกดวง ฝรั่งแทบจะกราบเราเลย (ยิ้ม) จากนั้นจึงผลัดกันฉาย กระทั่งตอนที่พระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า
สิริกิติ์ฯ เสด็จฯ กลับ โดยผ่านทวารของท้องพระโรงซึ่งงดงามมาก ทั้งสอง
พระองค์จึงประทับยืนตรงนั้นแล้ว รับสั่งให้ผมฉายพระบรมฉายาลักษณ์
...พระเจ้าอยู่หัวตรัสว่าให้เวลา ๕ นาที ผมถือกล้องซึ่งหนักตามไปโดยไม่มีขาตั้งกล้องด้วย แล้วเจ้าหน้าที่ในวังก็ช่วยกันยกไฟมาตั้งอย่างรวดเร็ว โดยระหว่างที่ฉายผมก็บนบานศาลกล่าวว่าขอให้ติดด้วยเถอะ ไม่น่าเชื่อว่าภาพออกมาสวยทุกภาพ ทั้งที่กล้องในสมัยนั้นไม่ใช่ระบบออโตเมติก ช่างภาพต้องวัดแสงเอง ต้องกะระยะเอง จึงถือเป็นบุญของผมมากแล้ว พอพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ผ่านผมไป
ก็ตรัสว่า ‘รู้ไหมว่าที่ฝรั่งถ่ายภาพไม่ติดเพราะเขาไม่เคารพสถานที่’ ผมเองก็กราบก่อนเข้าไปยังท้องพระโรงทุกครั้ง แล้วก็สามารถทำงานได้เรียบร้อย
นอกจากฉายพระบรมฉายาลักษณ์ถวายแล้ว ผมยังอัดพระบรมฉายาลักษณ์ถวายด้วย เพราะผมมีห้องอัดภาพของตัวเอง มีอยู่ครั้งหนึ่ง สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ จะเสด็จฯ ไปเยือนประเทศญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ จึงรับสั่งให้ผมตามเสด็จฯ ด้วย และให้ช่วยอัดพระ
บรมฉายาลักษณ์ที่ผมฉายให้ เพราะจะทรงนำไปพระราชทานแก่ชาว
ญี่ปุ่นในฐานะที่เป็นพระราชอาคันตุกะ จำได้ว่าผมเข้าห้องอัดภาพทั้งคืนเลย เครื่องบินพระที่นั่งออกตอน ๑๐ โมงเช้า พระบรมฉายาลักษณ์ที่ผมถือขึ้นเครื่องบินยังเปียกน้ำอยู่เลย” (ยิ้ม)
อีกครั้งหนึ่งที่คุณจำนงค์ประทับใจมิอาจลืมเลือน คือตอนที่เขาเข้าเฝ้ารอรับเสด็จฯ ในวังสวนจิตรลดา ระหว่างที่อยู่ในแถว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถเสด็จฯ เข้ามาหา จากนั้นทรงยื่นกล้องมาให้ช่วยถ่ายภาพที่สำคัญมากภาพหนึ่ง โดยที่คุณจำนงค์บอกกับเรา
ว่า “ผมบอกไม่ได้จริงๆ ว่าเป็นภาพอะไร เพราะเป็นภาพส่วนพระองค์” แต่ภาพหนึ่งซึ่งเขาสามารถบอกได้เลยว่าเป็นภาพอันทรงคุณค่าที่มีความประทับใจมากที่สุดในชีวิต คือภาพถ่ายของเขาคู่กับภริยาด้วย
ฝีพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
“ครั้งนั้น ม.ร.ว.ยงสวาสดิ์ กฤดากร กราบบังคมทูลเชิญไปเสวยพระกระยาหารที่บ้านที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และผมได้มีโอกาสร่วมโต๊ะเสวยด้วย พอจะเสด็จฯ พวกเราก็ตามไปส่งเสด็จฯ กัน โดยมีผมยืนอยู่ด้านข้าง สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ จึงกราบทูลพระเจ้าอยู่หัวว่า ‘ถ่ายคุณจำนงค์หน่อยสิ’ เวลานั้นพระเจ้าอยู่หัวทรงมีกล้องคล้องอยู่ที่พระศอพอดี จึงทรงกล้องขึ้นมาถ่ายภาพผมกับภรรยาไว้ จากนั้นเจ้าหน้าที่ในวังก็ได้อัดรูปส่งมาให้ที่บ้าน”

สุดปลื้มปีติ...เรื่องเล่าหาอ่านยาก!...จากช่างภาพสมัครเล่นส่วนพระองค์...ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
 

จากการที่ได้ใกล้ชิดกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาเป็นเวลานาน คุณจำนงค์เล่าให้เราฟังว่าพระมหากษัตริย์ของเรานั้นทรงมีพระอารมณ์ขันและทรงมีความห่วงใยอยู่เสมอ
“พระองค์ท่านมักจะตรัสเรื่องตลกต่อพระพักตร์ที่เรียบเฉย ตามอย่างที่คนธรรมดาเรียกกันว่าหน้าตายนั่นแหละ (ยิ้ม) ครั้งนั้นพระองค์ทรงขับรถด้วยพระองค์เองมาถึงบ้านของ ม.ร.ว.ยงสวาสดิ์ โดยเป็นเพียงรถญี่ปุ่น ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นโซลูน่า คันเล็กๆ ที่ราคาถูกที่สุด แต่พวกเรายังไม่ทันเห็นว่าเป็นยี่ห้ออะไรเมื่อกราบทูลถามว่า ‘วันนี้ทรงขับรถอะไรมาพ่ะย่ะค่ะ พระเจ้าอยู่หัวทรงตอบว่า ‘ทายซิ’ ผมเองมองเห็นรถไม่ชัดนัก จึงทูลตอบไปว่า ‘เล็กซัสพ่ะย่ะค่ะ’ เพราะเป็นรถชั้นเยี่ยมของโตโยต้า พระองค์ท่านจึงทรงพระสรวลเล็กน้อยแล้วตรัสว่า ‘วันนี้ฉันหลอกเศรษฐีได้’
ส่วนความห่วงใยที่พระองค์ทรงมีให้แล้วผมประทับใจมากที่สุด เป็นตอนที่ผมขับรถขึ้นไปเข้าเฝ้าที่พระตำหนักภูพิงคฯ ในเวลาประมาณสามทุ่ม สมัยนั้นกำลังนิยมเล่นวิทยุวอล์กกี้กัน ระหว่างที่ผมกำลังขับรถขึ้นดอยสุเทพก็มีเสียงเรียกรหัสของผมเข้ามาว่า “มงกุฎ ๖๖ อยู่ที่ไหนแล้ว” ปรากฏว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงวิทยุมาเตือนว่าให้ขับรถระมัดระวังเพราะถนนมืดมากแล้วก็มีราชปฏิสันถารกับผมไปตลอดกระทั่งถึงพระตำหนัก แล้วขากลับลงมาก็ยังทรงใช้วิทยุสื่อสารกับผมตลอดทางจนถึงโรงแรมที่พัก เพราะทรงเกรงว่าผมจะหลับขณะขับรถ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่ารักที่สุด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงสนพระราชหฤทัยในเรื่องเล็กน้อย”
คุณจำนงค์มีความสุขกับการเป็นช่างถ่ายภาพภาพสมัครเล่นมาโดยตลอด แต่แล้วเขาก็วางมือภายหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ต่างมีพระชนมายุมากขึ้น และงดเสด็จฯ ออกเยี่ยมราษฎรในท้องที่ห่างไกล
“ไม่ได้ตามเสด็จฯ แล้วก็ไม่รู้จะถ่ายภาพใคร” เขากล่าวเจือเสียงเศร้า “สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ยังเคยรับสั่งถามเลยว่า “เลิกถ่ายรูปแล้วหรือคุณจำนงค์” (ยิ้ม) ตอนหลังผมจึงนำเอาฟิล์มเก่าๆ มาอัดใหม่แล้วส่งไปถวายสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระ
องค์ตรัสว่า “สวยมากและทำให้ทรงนึกถึงความหลัง”
แม้จะไม่ได้กดชัตเตอร์อีก แต่ในฐานะผู้ที่เคยถวายงานใกล้ชิด คุณจำนงค์ก็ยังคงได้เข้าเฝ้าอยู่เนืองๆ โดยครั้งล่าสุดเป็นการเข้าเฝ้าเพื่อรับพระราชทานน้ำสังข์ในโอกาสที่เขาอายุครบ ๘๒ ปี
“ตามธรรมเนียมแล้วผมจะต้องเข้ารับพระราชทานน้ำสังข์ตอนอายุครบ ๘๐ ปี แต่ก็มีเหตุให้เลื่อนออกไป กระทั่งวันที่ ๙ เดือน ๙ ในปีที่ผมอายุ ๘๒ ปี มีรับสั่งให้ครอบครัวของผมและครอบครัวของ ม.ร.ว.ยงสวาสดิ์ เข้าเฝ้าพร้อมกัน เนื่องจากเราสองคนเกิดวันเดือนปีเดียวกัน ครั้งนั้นพระองค์มีพระราชปฏิสันถารกับพวกเรานานหนึ่งชั่วโมงกว่า เจ้าหน้าที่ในวังยังบอกเลยว่าปกติแล้วจะประทับแค่ครึ่งชั่วโมงก็เสด็จฯ กลับ วันนั้นพระองค์ท่านไม่ได้ตรัสถึงเรื่องอื่นเลยนอกจากเรื่องคุณทองแดงนี่เป็นเรื่องที่พระองค์ทรงมีความสุขมากที่ได้ตรัสถึง หลังจากนั้นผมยังไม่มีโอกาสได้เข้าเฝ้าอีก เพราะพระองค์ท่านทรงพระประชวร ผมจึงไม่อยากจะกวนพระราชหฤทัย
นอกจากถวายพระพรขอให้พระองค์มีพระพลานามัยที่แข็งแรงแล้ว ทุกวันนี้ผมยังถวายงานด้วยการทำโครงการเทิดพระเกียรติและกิจกรรมเพื่อสังคมต่างๆ มากมายในนามบริษัทบุญรอดฯ อาทิ โครงการภาพยนตร์ถายพระพร โครงการสิงห์รักน้ำ โครงการอนุรักษ์วัฒนธรรม โครงการสิงห์อาสาในมูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี และโดยส่วนตัวผมยังบริจาคเงินให้แก่โครงการในพระราชดำริต่างๆ โดยไม่ได้ป่าวประกาศบอกใครว่าเราทำ แต่พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงทราบ พระองค์ท่านยังเคยตรัสถามว่า ‘เงินหมดหรือยัง’ ผมก็กราบทูลไปว่า ‘ยังพ่ะย่ะค่ะ’ (หัวเราะ) นี่เป็นเพียงสิ่งน้อยนิดเท่านั้นที่เราพอจะแบ่งเบาพระราชภาระของพระองค์ได้ตามกำลังทรัพย์ที่เรามี
...คนไทยโชคดีมากที่มีพระองค์ท่านทรงเป็นพ่อผู้ยิ่งใหญ่ของลูก ถึงวันนี้ผมจึงอยากให้ทุกคนร่วมมือร่วมใจกันสร้างคุณงามความดี เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระมหากษัตริย์ผู้ทรงรักใคร่พสกนิกรของพระองค์มากเกินกว่าจะหาสิ่งใดมาเปรียบ”

สุดปลื้มปีติ...เรื่องเล่าหาอ่านยาก!...จากช่างภาพสมัครเล่นส่วนพระองค์...ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

 จากรายการโทรทัศน์
“สุดสัปดาห์กับลัดดาซุบซิบ” ทาง TNN 24

สุดปลื้มปีติ...เรื่องเล่าหาอ่านยาก!...จากช่างภาพสมัครเล่นส่วนพระองค์...ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

จากหนังสือเรื่อง เย็นศิระเพราะพระบริบาล กับ ลัดดาซุบซิบ โดยคุณแถมสิน รัตนพันธุ์