- 28 ต.ค. 2559
ติดตามรายละเอียด deeps.tnews.co.th
เงียบหายไประยะหนึ่งในช่วงที่ประเทศเกิดเหตุเศร้า 13 ต.ค. 2559 ล่าสุดนายวัฒนา เมืองสุข อดีตส.ส.เพื่อไทย ออกมาโพสต์เฟสบุ๊กโจมตีรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อีกระลอก โดยอ้างว่า การยกเลิกนโยบายรับจำนำข้าวมีส่วนสำคัญทำให้ชาวนาได้รับความเดือดร้อน เพราะ “ จากที่ชาวนาเคยขายได้ในราคาตันละ 15,000-20,000 บาท ตามนโยบายการแทรกแซงตลาดของพรรคเพื่อไทย ทำให้ชาวนาต้องขาดทุนเพราะต้นทุนการผลิตตกตันละประมาณ 10,000 บาท เป็นผลให้เงินของชาวนาหายไปประมาณ 250,000 ล้านบาท เงินจำนวนนี้จะเข้าไปหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพื่อซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคอีกหลายรอบทำให้กำลังซื้อหายไปไม่น้อยกว่าหนึ่งล้านล้านบาท จึงไม่ต้องสงสัยว่าเหตุใดเศรษฐกิจของไทยจึงแย่และไม่มีทางจะฟื้นตัว”
นอกจากนี้ นายวัฒนายังกล่าวหาว่า รัฐบาลปัจจุบันนำเอานโยบายรับจำข้าวมาใช้เป็นเครื่องมือทำลายพรรคเพื่อไทย “ นอกจากการทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามแล้ว รัฐบาลยังปิดหูปิดตาประชาชนโดยรองนายกฝ่ายเศรษฐกิจแสดงความโกรธเกรี้ยวผู้ที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์เศรษฐกิจไทยที่กำลังแย่ อ้างว่าประเทศไทยอยู่ในช่วงเศร้าโศกและอ่อนไหวไม่ควรใช้จังหวะนี้ออกมาพูด แต่รัฐบาลกลับออกมาโฆษณาชวนเชื่อสร้างความสับสนให้ประชาชนได้แทบทุกวัน ที่แย่ไปกว่านั้นคือการอ้างกฎหมายจัดการกับคนที่ไม่มีทางสู้ กรณีหัวหน้ารัฐบาลออกคำสั่งทางปกครองเรียกร้องให้นายกยิ่งลักษณ์ชำระค่าเสียหายจากการดำเนินนโยบายช่วยเหลือชาวนา แต่นิรโทษกรรมตัวเองและพรรคพวกไม่ต้องรับผิดชอบไว้ล่วงหน้า ครั้นพอมีชาวนาเห็นใจจะบริจาคเงินช่วยเหลือนายกยิ่งลักษณ์ที่ถูกดำเนินคดีโดยไม่เป็นธรรม”
แน่นอนว่าประเด็นหลักที่นายวัฒนาสอดแทรกมาโดยตลอด ก็คือ การโจมตีรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ว่ามีเป้าหมายทำลายล้างพรรคเพื่อไทย ทั้งที่โดยข้อเท็จจริงนโยบายรับจำนำข้าวโดยรัฐบาลพรรคเพื่อไทยมีปัญหามาโดยตลอด ทั้งเรื่องการทุจริตโดยการระบายข้าวจีทูจีผ่านบริษัทสยามอินดิก้า และการใช้เงินงบประมาณแผ่นดินจนไม่อาจแบกรับภาระต่อไปได้ เพียงแต่นายวัฒนาเลือกจะนำเสนอในบางมุมของข้อเท็จจริงเพื่อปลุกเร้าให้ประชาชนเห็นว่าการดำเนินการทางกฎหมายกับผู้เกี่ยวข้องในนโยบายรับจำนำข้าวเป็นเรื่องการกลั่นแกล้งทางการเมือง
วันที่ 18 มิถุนายน 2556 ถือเป็นครั้งแรกที่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยอมรับอย่างเป็นรูปธรรมว่า นโยบายจำนำข้าวทุกเมล็ดในราคา 15,000 บาทตามที่ประกาศเป็นนโยบายหาเสียงไม่อาจเดินหน้าต่อไปได้โดยผลกระทบหลาย ๆ ด้าน
โดยข้อมูลดังกล่าวถูกเปิดเผยจาก นายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น ระบุว่าที่ ประชุมคณะรัฐมนตรี ได้รับทราบรายงานและมีมติยอมรับตัวเลขการขาดทุนตามหลักการคิดคำนวณของคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว และมอบหมายให้คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ไปพิจารณาแนวทางการรับจำนำรอบใหม่ โดยนำข้อเสนอแนะของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. ไปพิจารณาคัดเลือกแนวทางการปรับลดราคารับจำนำ ในเบื้องต้นมี 3 แนวทางคือ
แนวทางที่1 การปรับราคาลงจากราคาปัจจุบัน 15-20%
แนวทางที่ 2 การใช้ราคาทุนการผลิตของเกษตรกรที่กระทรวงเกษตรฯคำนวณได้บวกกับกำไรที่เพิ่มขึ้นอีก 25%
และแนวทางที่ 3 ใช้ราคาตลาดและเพิ่มราคาให้อีก 10% รวมทั้งจำกัดวงเงินในการรับจำนำต่อครัวเรือนที่ 3-5 แสนบาท โดยระบุแนวทางการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวฤดูการผลิต 2556/57 (เริ่ม ต.ค.56) จะต้องขาดทุนไม่เกิน 7 หมื่นล้านบาท
หลังจากก่อนหน้านั้น ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2556 ได้เพิ่มหลักเกณฑ์สำหรับข้าวที่ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการมีอายุต่ำกว่า 110 วันที่มีคุณภาพต่ำ 18 สายพันธุ์ จนทำให้หลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ว่าถือเป็นการสิ้นสุดนโยบายรับจำนำข้าวทุกเมล็ด
ท้ายสุดเป็นอย่างที่ทุกคนรับรู้ คือ การประชุมครม. เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2556 ได้มติเห็นชอบตามข้อเสนอคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นประธานคณะกรรมการ ให้ปรับลดราคารับจำนำข้าวเปลือกตั้งแต่ฤดูกาลผลิตข้าวนาปรังปี 2556 ลดจาก 1.5 หมื่นบาทต่อตัน (ความชื้นไม่เกิน 15%) เหลือเพียง 1.2 หมื่นบาทต่อตัน และจำกัดวงเงินการนำข้าวเข้าสู่โครงการรับจำนำเหลือรายละไม่เกิน 5 แสนบาท โดยอ้างว่า ราคา 1.2 หมื่นบาทต่อตันนี้ คำนวณต้นทุนการผลิตเฉลี่ยแล้วเกษตรกรมีต้นทุนประมาณ 8 พันบาทต่อตัน เท่ากับชาวนายังคงมีกำไรจากการผลิตอีก 40% และทั้งนี้การปรับลดราคาลงก็เพื่อรักษาวินัยทางการคลังไม่ให้โครงการขาดทุนเกินปีละ 1 แสนล้านบาทตามกรอบที่วางไว้
แต่เมื่อทันทีที่เกิดประเด็นนี้ชาวนาทั่วประเทศถึงกับลุกฮือคัดค้าน จนท้ายสุดทำให้เกิดเป็นมติครม.เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2556 ดังนี้ โครงการรับจำนำข้าวเปลือกเจ้านาปี ฤดูการผลิต ปี 56/57 จะรับจำนำที่ราคา 15,000 บาท/ตัน จำกัดวงเงินรับจำนำไว้ที่ไม่เกิน 3.5 แสนบาท/ครัวเรือน เริ่มต้นตั้งแต่ 1ต.ค.56- 28ก.พ.57 ส่วนโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ฤดูการผลิตปี 2557 จะรับจำนำข้าวในระดับราคาลดลงมาเหลือ 13,000 บาท/ตัน และจำกัดวงเงินการรับจำนำไว้ไม่เกิน 3 แสนบาท/ครัวเรือน
ข้อมูลดังกล่าวเป็นเพียงข้อเท็จจริงบางส่วนที่ทำให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น เกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าวว่าประสบผลสำเร็จอย่างดียิ่งตามที่นายวัฒนาว่ากล่าวจริงหรือไม่ ??
ไม่เท่านั้นยังมีข้อเท็จจริงอีกประการหนึ่ง เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2559 ที่ผ่านมา นายสุพัฒน์ เอี้ยวฉาย ผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) หนึ่งในพยานฝ่ายโจทก์คดีโครงการรับจำนำข้าว ที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย ในความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ และเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 กรณีละเลยไม่ดำเนินการระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งทำให้รัฐเสียหายกว่า 5 แสนล้านบาท
โดยนายสุพัฒน์เบิกความต่อองค์คณะศาลฎีกาว่า " โครงการรับจำนำข้าวว่า มีการใช้เงินในโครงการรวม 5 ฤดูการผลิต จำนวน 878 แสนล้านบาทเศษ ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวนี้ยังไม่รวมดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าดูแลคุณภาพข้าว ซึ่งหากมีการรวมยอดปิดบัญชีจนถึง 30 ก.ย. 2557 โครงการจะมีวงเงินใช้จ่ายประมาณ 9 แสนล้านบาทเศษ
และเนื่องจากพยานถือเป็นหนึ่งในอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการจำนำข้าวชุดที่ คสช.แต่งตั้ง โดยโครงการจำนำข้าวตามกรอบมติคณะรัฐมนตรี ทำให้ทราบข้อมูลว่า จำเลย (น.ส.ยิ่งลักษณ์) ใช้วงเงิน 4.1 แสนล้านบาท และเงินกู้ของ ธ.ก.ส. 9 หมื่นล้านบาท โดยในช่วง 2 ปีแรกของโครงการรับจำนำข้าว ใช้เงินในโครงการน้อยกว่ากรอบวงเงินที่ได้กำหนดไว้ แต่ต่อมาในช่วงปีหลัง ภายหลังมีการรับจำนำข้าวแบบต่อเนื่อง ก็มีความจำเป็นที่ต้องใช้แหล่งเงินกู้มากขึ้น และยังให้นำเงินระบายข้าวมาใช้หมุนเวียน ทำให้กรอบวงเงินการใช้โครงการสูงขึ้น
ขณะที่จากการตรวจสอบบัญชีหลังจากวันที่ 31 มี.ค.2559 ธ.ก.ส.ยังมีหนี้ค้างในโครงการอยู่ 536,000 ล้านบาทเศษ คิดเป็นเฉพาะดอกเบี้ยวันละ 36 ล้านบาทเศษ และยังคงเหลือข้าวของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ รอการระบายอีกประมาณ 12 ล้านตันเศษ ซึ่งการระบายข้าวในโครงการรับจำนำข้าวได้น้อย สาเหตุหลักมาจากราคาขายตามกลไกตลาดโลก และราคาที่รัฐบาลรับจำนำ ซึ่งมีส่วนต่างจากราคาตลาดหรือคิดเป็นอัตราที่สูงกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ...."
ชัชรินทร์ สำนักข่าวทีนิวส์ : เรียบเรียง