เอาความจริงมาพูดดีกว่า!!! "ทีนิวส์"เปิดประเด็น..ถ้าจำนำข้าวดีจริง ทำไมรัฐบาลของ"วัฒนา"  ต้องทำร้ายใจชาวนาหั่นราคาลงฮวบฮาบ ซ้ำจำกัดวงเงินรายได้ # เลิกจำนำทุกเมล็ด??

ติดตามรายละเอียด deeps.tnews.co.th

     เงียบหายไประยะหนึ่งในช่วงที่ประเทศเกิดเหตุเศร้า  13  ต.ค. 2559    ล่าสุดนายวัฒนา  เมืองสุข  อดีตส.ส.เพื่อไทย    ออกมาโพสต์เฟสบุ๊กโจมตีรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อีกระลอก โดยอ้างว่า  การยกเลิกนโยบายรับจำนำข้าวมีส่วนสำคัญทำให้ชาวนาได้รับความเดือดร้อน เพราะ   “ จากที่ชาวนาเคยขายได้ในราคาตันละ  15,000-20,000 บาท   ตามนโยบายการแทรกแซงตลาดของพรรคเพื่อไทย ทำให้ชาวนาต้องขาดทุนเพราะต้นทุนการผลิตตกตันละประมาณ 10,000 บาท  เป็นผลให้เงินของชาวนาหายไปประมาณ 250,000 ล้านบาท  เงินจำนวนนี้จะเข้าไปหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพื่อซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคอีกหลายรอบทำให้กำลังซื้อหายไปไม่น้อยกว่าหนึ่งล้านล้านบาท จึงไม่ต้องสงสัยว่าเหตุใดเศรษฐกิจของไทยจึงแย่และไม่มีทางจะฟื้นตัว”

 

     นอกจากนี้ นายวัฒนายังกล่าวหาว่า รัฐบาลปัจจุบันนำเอานโยบายรับจำข้าวมาใช้เป็นเครื่องมือทำลายพรรคเพื่อไทย  “ นอกจากการทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามแล้ว รัฐบาลยังปิดหูปิดตาประชาชนโดยรองนายกฝ่ายเศรษฐกิจแสดงความโกรธเกรี้ยวผู้ที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์เศรษฐกิจไทยที่กำลังแย่ อ้างว่าประเทศไทยอยู่ในช่วงเศร้าโศกและอ่อนไหวไม่ควรใช้จังหวะนี้ออกมาพูด แต่รัฐบาลกลับออกมาโฆษณาชวนเชื่อสร้างความสับสนให้ประชาชนได้แทบทุกวัน ที่แย่ไปกว่านั้นคือการอ้างกฎหมายจัดการกับคนที่ไม่มีทางสู้ กรณีหัวหน้ารัฐบาลออกคำสั่งทางปกครองเรียกร้องให้นายกยิ่งลักษณ์ชำระค่าเสียหายจากการดำเนินนโยบายช่วยเหลือชาวนา แต่นิรโทษกรรมตัวเองและพรรคพวกไม่ต้องรับผิดชอบไว้ล่วงหน้า ครั้นพอมีชาวนาเห็นใจจะบริจาคเงินช่วยเหลือนายกยิ่งลักษณ์ที่ถูกดำเนินคดีโดยไม่เป็นธรรม”

 

     แน่นอนว่าประเด็นหลักที่นายวัฒนาสอดแทรกมาโดยตลอด ก็คือ  การโจมตีรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์  ว่ามีเป้าหมายทำลายล้างพรรคเพื่อไทย   ทั้งที่โดยข้อเท็จจริงนโยบายรับจำนำข้าวโดยรัฐบาลพรรคเพื่อไทยมีปัญหามาโดยตลอด    ทั้งเรื่องการทุจริตโดยการระบายข้าวจีทูจีผ่านบริษัทสยามอินดิก้า     และการใช้เงินงบประมาณแผ่นดินจนไม่อาจแบกรับภาระต่อไปได้    เพียงแต่นายวัฒนาเลือกจะนำเสนอในบางมุมของข้อเท็จจริงเพื่อปลุกเร้าให้ประชาชนเห็นว่าการดำเนินการทางกฎหมายกับผู้เกี่ยวข้องในนโยบายรับจำนำข้าวเป็นเรื่องการกลั่นแกล้งทางการเมือง 

      วันที่  18  มิถุนายน   2556    ถือเป็นครั้งแรกที่รัฐบาล  น.ส.ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร  ยอมรับอย่างเป็นรูปธรรมว่า นโยบายจำนำข้าวทุกเมล็ดในราคา  15,000  บาทตามที่ประกาศเป็นนโยบายหาเสียงไม่อาจเดินหน้าต่อไปได้โดยผลกระทบหลาย ๆ  ด้าน 

 

 

     โดยข้อมูลดังกล่าวถูกเปิดเผยจาก  นายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น ระบุว่าที่ ประชุมคณะรัฐมนตรี  ได้รับทราบรายงานและมีมติยอมรับตัวเลขการขาดทุนตามหลักการคิดคำนวณของคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว และมอบหมายให้คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ไปพิจารณาแนวทางการรับจำนำรอบใหม่  โดยนำข้อเสนอแนะของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช.  ไปพิจารณาคัดเลือกแนวทางการปรับลดราคารับจำนำ ในเบื้องต้นมี 3 แนวทางคือ

 

แนวทางที่1 การปรับราคาลงจากราคาปัจจุบัน 15-20%

 

แนวทางที่ 2 การใช้ราคาทุนการผลิตของเกษตรกรที่กระทรวงเกษตรฯคำนวณได้บวกกับกำไรที่เพิ่มขึ้นอีก 25%

 

และแนวทางที่ 3 ใช้ราคาตลาดและเพิ่มราคาให้อีก 10% รวมทั้งจำกัดวงเงินในการรับจำนำต่อครัวเรือนที่ 3-5 แสนบาท โดยระบุแนวทางการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวฤดูการผลิต 2556/57 (เริ่ม ต.ค.56) จะต้องขาดทุนไม่เกิน 7 หมื่นล้านบาท

 

      หลังจากก่อนหน้านั้น ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.)  เมื่อวันที่ 11 มีนาคม   2556   ได้เพิ่มหลักเกณฑ์สำหรับข้าวที่ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการมีอายุต่ำกว่า 110 วันที่มีคุณภาพต่ำ 18 สายพันธุ์   จนทำให้หลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ว่าถือเป็นการสิ้นสุดนโยบายรับจำนำข้าวทุกเมล็ด

 

     ท้ายสุดเป็นอย่างที่ทุกคนรับรู้  คือ   การประชุมครม. เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน  2556  ได้มติเห็นชอบตามข้อเสนอคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร เป็นประธานคณะกรรมการ  ให้ปรับลดราคารับจำนำข้าวเปลือกตั้งแต่ฤดูกาลผลิตข้าวนาปรังปี 2556  ลดจาก 1.5 หมื่นบาทต่อตัน (ความชื้นไม่เกิน 15%) เหลือเพียง  1.2 หมื่นบาทต่อตัน และจำกัดวงเงินการนำข้าวเข้าสู่โครงการรับจำนำเหลือรายละไม่เกิน 5 แสนบาท  โดยอ้างว่า ราคา 1.2 หมื่นบาทต่อตันนี้  คำนวณต้นทุนการผลิตเฉลี่ยแล้วเกษตรกรมีต้นทุนประมาณ 8 พันบาทต่อตัน  เท่ากับชาวนายังคงมีกำไรจากการผลิตอีก 40%  และทั้งนี้การปรับลดราคาลงก็เพื่อรักษาวินัยทางการคลังไม่ให้โครงการขาดทุนเกินปีละ 1 แสนล้านบาทตามกรอบที่วางไว้ 

 

เอาความจริงมาพูดดีกว่า!!! "ทีนิวส์"เปิดประเด็น..ถ้าจำนำข้าวดีจริง ทำไมรัฐบาลของ"วัฒนา"  ต้องทำร้ายใจชาวนาหั่นราคาลงฮวบฮาบ ซ้ำจำกัดวงเงินรายได้ # เลิกจำนำทุกเมล็ด??

 

     แต่เมื่อทันทีที่เกิดประเด็นนี้ชาวนาทั่วประเทศถึงกับลุกฮือคัดค้าน  จนท้ายสุดทำให้เกิดเป็นมติครม.เมื่อวันที่  4 กันยายน  2556   ดังนี้   โครงการรับจำนำข้าวเปลือกเจ้านาปี ฤดูการผลิต ปี 56/57 จะรับจำนำที่ราคา 15,000 บาท/ตัน จำกัดวงเงินรับจำนำไว้ที่ไม่เกิน 3.5 แสนบาท/ครัวเรือน เริ่มต้นตั้งแต่ 1ต.ค.56- 28ก.พ.57 ส่วนโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ฤดูการผลิตปี  2557  จะรับจำนำข้าวในระดับราคาลดลงมาเหลือ 13,000 บาท/ตัน  และจำกัดวงเงินการรับจำนำไว้ไม่เกิน 3 แสนบาท/ครัวเรือน

      ข้อมูลดังกล่าวเป็นเพียงข้อเท็จจริงบางส่วนที่ทำให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น  เกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าวว่าประสบผลสำเร็จอย่างดียิ่งตามที่นายวัฒนาว่ากล่าวจริงหรือไม่  ??

       

       ไม่เท่านั้นยังมีข้อเท็จจริงอีกประการหนึ่ง  เมื่อวันที่  22  เมษายน  2559  ที่ผ่านมา   นายสุพัฒน์   เอี้ยวฉาย    ผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร   (ธ.ก.ส.)   หนึ่งในพยานฝ่ายโจทก์คดีโครงการรับจำนำข้าว   ที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย ในความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ และเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 กรณีละเลยไม่ดำเนินการระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งทำให้รัฐเสียหายกว่า 5 แสนล้านบาท

 

      โดยนายสุพัฒน์เบิกความต่อองค์คณะศาลฎีกาว่า  " โครงการรับจำนำข้าวว่า มีการใช้เงินในโครงการรวม 5 ฤดูการผลิต จำนวน 878 แสนล้านบาทเศษ   ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวนี้ยังไม่รวมดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าดูแลคุณภาพข้าว  ซึ่งหากมีการรวมยอดปิดบัญชีจนถึง 30 ก.ย.  2557 โครงการจะมีวงเงินใช้จ่ายประมาณ  9  แสนล้านบาทเศษ

 

     และเนื่องจากพยานถือเป็นหนึ่งในอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการจำนำข้าวชุดที่ คสช.แต่งตั้ง โดยโครงการจำนำข้าวตามกรอบมติคณะรัฐมนตรี  ทำให้ทราบข้อมูลว่า จำเลย (น.ส.ยิ่งลักษณ์)   ใช้วงเงิน 4.1 แสนล้านบาท และเงินกู้ของ ธ.ก.ส. 9 หมื่นล้านบาท โดยในช่วง 2 ปีแรกของโครงการรับจำนำข้าว ใช้เงินในโครงการน้อยกว่ากรอบวงเงินที่ได้กำหนดไว้ แต่ต่อมาในช่วงปีหลัง ภายหลังมีการรับจำนำข้าวแบบต่อเนื่อง ก็มีความจำเป็นที่ต้องใช้แหล่งเงินกู้มากขึ้น และยังให้นำเงินระบายข้าวมาใช้หมุนเวียน ทำให้กรอบวงเงินการใช้โครงการสูงขึ้น

 

    ขณะที่จากการตรวจสอบบัญชีหลังจากวันที่   31 มี.ค.2559     ธ.ก.ส.ยังมีหนี้ค้างในโครงการอยู่ 536,000  ล้านบาทเศษ    คิดเป็นเฉพาะดอกเบี้ยวันละ 36  ล้านบาทเศษ  และยังคงเหลือข้าวของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์   รอการระบายอีกประมาณ 12 ล้านตันเศษ    ซึ่งการระบายข้าวในโครงการรับจำนำข้าวได้น้อย    สาเหตุหลักมาจากราคาขายตามกลไกตลาดโลก และราคาที่รัฐบาลรับจำนำ  ซึ่งมีส่วนต่างจากราคาตลาดหรือคิดเป็นอัตราที่สูงกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ...."

 

ชัชรินทร์  สำนักข่าวทีนิวส์  : เรียบเรียง