ดีกว่าไทยบางคน!!! ศาสตราจารย์เยอรมัน “ยกคำสอนในหลวงร.9เช่นเดียวพระพุทธเจ้า”แม้ตะวันตกยังต้องฟัง??? ตอกพวกจาบจ้วง

ติดตามรายละเอียด http://deeps.tnews.co.th

       แม้วันนี้พ่อหลวงจะไม่ได้อยู่กับเราแล้ว แต่สิ่งยิ่งใหญ่ที่พระองค์ทรงให้ไว้แก่คนไทยและแผ่นดินไทยคือคำสอนและแบบอย่างการใช้ชีวิตอย่างพอเพียง ทรงทุ่มเทพระวรกายดั่งบรมครูผู้ยิ่งใหญ่ทั้งในการประพฤติตนเป็นแบบอย่างอยู่เสมอ ไหนจะหลักคิดทฤษฎีต่างๆ ที่ทรงคิดค้นไว้มากมายเพื่อพสกนิกรไทยของพระองค์ ที่น่าทึ่งและภูมิใจยิ่งคือนอกจากคนไทยแล้ว ยังมีชาวต่างชาติที่มีหัวใจยิ่งกว่าคนไทยรายหนึ่งคือ ศาสตราจารย์แมนเฟรด คราเมส ชาวเยอรมันที่สนใจปรัชญาตะวันออกและศาสนาพุทธตั้งแต่อายุ 15 ปี ลงปักหลักรากฐานชีวิตตนไว้ในเมืองไทยเพราะประทับใจในพระมหากษัตริย์ของคนไทยพระองค์นี้

       เขาได้รับหลักคิดและวิถีปฏิบัติของตนจากพระองค์มาเป็นแนวทางในการใช้ชีวิต และต้องการสื่อสารกับคนไทยในแง่มุมที่ต่างออกไป ในเบื้องต้นเขาถึงกับเอ่ยว่าเสียดายที่คนไทยหลายคนยังไม่เข้าใจในหลวงดีพอทั้งๆ ที่หลายคนบอกว่ารักและเทิดทูนพระองค์ แมนเฟรด กล่าวไว้ในงานเขียนของเขาที่ต้องการสื่อสารกับคนไทยในหนังสือ เรียนรู้จากพระเจ้าแผ่นดิน บางส่วนว่า

ดีกว่าไทยบางคน!!! ศาสตราจารย์เยอรมัน “ยกคำสอนในหลวงร.9เช่นเดียวพระพุทธเจ้า”แม้ตะวันตกยังต้องฟัง??? ตอกพวกจาบจ้วง

       “ ผมรู้สึกเศร้าใจเมื่อมีคนตั้งคำถามกับผมว่ารู้สึกอย่างไรเวลาที่ได้ยินคนไทยพูดว่าเรารักในหลวง อันหมายถึง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ที่ผมให้คำตอบเช่นนี้เพราะอะไรน่ะหรือ ลองคิดดูสิว่าถ้าหากคุณมีลูกที่ไม่เคยเชื่อฟังคำสั่งสอนขอท่านเลย ไม่เคยเดินตามแนวทางที่ท่านวางไว้ ไม่เคยต้องการที่จะเรียนรู้จากท่าน สิ่งที่พวกเขาทำนั้นเพียงแค่ก่อปัญหาแล้วก็เรียกร้องให้ท่านยื่นมือเข้าไปช่วยเหลืออยู่เสมอ ในขณะเดียวกันก็พร่ำพูดว่าลูกรักพ่อ ถ้าท่านเป็นพ่อ ท่านจะรู้สึกอย่างไร ผมจึงคิดว่าการดำเนินชีวิตตามแนวพระราชดำริและน้อมนำคำสอนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาใช้จึงมีความสำคัญมาก การสรรเสริญและการแสดงความขอบคุณเป็นคนละเรื่องกัน ผมยังแปลกใจว่าในเมื่อพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระวิริยอุตสาหะในการเป็นแบบอย่างที่ดีงาม ผมไม่ทราบว่าคนส่วนใหญ่เข้าใจและรับข้อมูลข่าวสารในสิ่งที่พระองค์ทรงสื่อสารให้ผู้คนได้รับทราบอย่างแท้จริงมากน้อยเพียงใด และจะมีสักกี่คนที่สามารถรวบรวมปัญญาและแนวทางที่พระองค์ทรงพระราชทานให้เพื่อนำไปใช้ในการดำเนินชีวิตจริง ”

       ศ.แมนเฟรด คราเมส เขียนอีกด้วยว่า “ ผมเชื่ออย่างมั่นใจว่าหากพระองค์มิได้ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ในช่วงพระชนม์ชีพนี้ พระองค์จะต้องทรงเป็นบรมครูที่มีชื่อเสียงอย่างแน่นอน...ผมคิดว่าเป็นการไม่รับผิดชอบที่จะนั่ง ๆ นอน ๆ ในชีวิตอย่างสบาย และให้คนคนเดียวทำงานอย่างหนักเพื่อดูแลและแก้ปัญหาของชาติ ท่าทีเช่นนี้เป็นสิ่งที่แสดงถึงความไม่เคารพต่อพระองค์ และอาจแย่ยิ่งกว่าการพูดถึงพระองค์ในทางไม่ดีในที่สาธารณะ ประเทศหลายแห่งในโลกจะดีใจมากที่มีพระมหากษัตริย์เช่นนี้ แต่คุณเองเป็นคนไทย มีพระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ แต่ไม่ได้นำประโยชน์จากพระองค์มาใช้ในชีวิต ผมคิดว่าน่าละอายหากประเทศหลายแห่งในโลกจะชี้มายังประเทศไทยและเอ่ยได้ว่า ดูสิ พวกเขามีครูผู้ยิ่งใหญ่ แต่ได้เรียนรู้จากพระองค์น้อยมาก “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นเพียงบุคคลคนเดียวที่พยายามจะพัฒนาประเทศชาติ ในขณะที่คนอื่น ๆ ในชาติได้แต่เฝ้ารอให้สิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นโดยมิได้ดำเนินตามรอยพระบาทของพระองค์ ”

       ศ.แมนเฟรด คราเมส ได้เขียนด้วยว่า“ผมคิดว่า คำสอนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้นเป็นสากล เฉกเช่นเดียวกับคำสอนของพระพุทธเจ้า คนทั่วโลกจึงสามารถนำสิ่งที่ได้เรียนรู้จากพระองค์ไปปรับใช้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงได้รับการศึกษามาจากต่างประเทศ (สวิตเซอร์แลนด์และสหรัฐอเมริกา) พระองค์ทรงตระหนักว่าการศึกษาแบบตะวันตกนั้นเป็นสิ่งสำคัญก็จริง แต่ทว่าไม่ใช่ทุกอย่าง พระองค์ทรงสามารถถ่ายทอดความรู้แก่ชาวตะวันตกรวมถึงคนไทยให้เห็นถึงผลทั้งหลายทั้งปวงจากการศึกษาอันชาญฉลาด แต่ความรู้ทั้งหมดทั้งมวลในโลกนี้ย่อมไม่มีประโยชน์อันใดเลยถ้าปราศจากการเชื่อมโยงถึงความรู้สึกลึกซึ้งในจิตใจ

        “ แนวทางการทำงานที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงงานอย่างหนัก และตรากตรำพระวรกายนั้นมิใช่เพื่อให้ทรงได้รับการยกย่องว่าเป็นกษัตริย์ที่ประเสริฐ แต่พระองค์ทรงกระทำเพื่อเป็นตัวอย่างฉันเป็นผู้นำทางและเป็นครูของเรา ”

 

 

 

 

เรียบเรียงโดย : ศิริพงศ์ สำนักข่าวทีนิวส์

ขอบคุณข้อมูล : ศาสตราจารย์แมนเฟรด คราเมส และสนพ.กรีนปัญญาญาณ