จัดหนัก จัดเต็ม !!! "เปลว สีเงิน"  ร่ายยาวตอกใส่หน้า "นักวิชาการ"  ประชาธิปไตย-เผด็จการ ไม่เกี่ยวกับชนชั้นไหนจะเอาไม่เอา  ???

เมื่อวันเสาร์ (๕ พ.ย.๕๙) ที่เชิงสะพานมัฆวานฯ สถาบันพระปกเกล้า จัดประชุมวิชาการใต้หัวข้อเรื่อง เติมชีวิต คืนชีวาประชาธิปไตย ดร.สุรชาติ บำรุงสุข อาจารย์รัฐศาสตร์ จุฬาฯ ตั้งคำถามสาธารณ์ในการอภิปรายของท่

เมื่อวันเสาร์ (๕ พ.ย.๕๙) ที่เชิงสะพานมัฆวานฯ สถาบันพระปกเกล้า จัดประชุมวิชาการใต้หัวข้อเรื่อง เติมชีวิต คืนชีวาประชาธิปไตย  ดร.สุรชาติ บำรุงสุข อาจารย์รัฐศาสตร์ จุฬาฯ ตั้งคำถามสาธารณ์ในการอภิปรายของท่าน ว่า ตอนนี้ต้องถามว่า สถานะของการเมืองไทยอยู่ประมาณไหน ถ้าเราเชื่อทางวิธีคิด หรือภาษาทางรัฐศาสตร์ เรียกว่า เรากำลังเข้าสู่ระยะเปลี่ยนผ่านผมเชื่อว่านั้น คือ โจทย์ที่ใหญ่ที่สุดต้องทำความเข้าใจกันว่า วันนี้ เราไม่ได้อยู่ในระยะเปลี่ยนผ่านรัฐประหาร ไม่ใช่การเปลี่ยนผ่าน รัฐประหาร คือ รัฐประหารแล้วถ้าคิดว่า รัฐประหารคือการสร้างประชาธิปไตยผมคิดว่า ต้องยุบคณะรัฐศาสตร์ผมทิ้งเพราะรัฐประหารไม่สร้างประชาธิปไตย รัฐประหารสร้างรัฐบาลทหารและเป็นเผด็จการทหาร นั้นหมายความว่า ในหลายปีที่ผ่านมา ไม่ใช่แค่ในประเทศไทยผมคิดว่า สถานการณ์รูปแบบการเมืองไทย อยู่ในสถานะที่แบบก้ำกึ่งตรงกลาง เปลี่ยนผ่านมีเลือกตั้ง หลังเลือกตั้ง มีประชาธิปไตยภายใต้ระบอบเลือกตั้งระยะหนึ่งและก็ยึดอำนาจใหม่ นั่นหมายความว่า ประชาธิปไตยไทย มีลักษณะเดินหน้าถอยหลัง ฯลฯ

 

ดร.สุรชาติ ไม่ได้ถามผมแต่ผมเกรงอาจารย์จะว้าเหว่ ถามกลางประเทศขนาดนี้แล้ว ถ้าไม่มีใครตอบซักคน ก็ขอตอบแทนตรงนี้ละกัน ว่า"ที่อาจารย์คิดน่ะ ถูกแล้ว ฉะนั้น ควรยุบคณะรัฐศาสตร์ของอาจารย์ทิ้งได้แล้วหรือไม่ก็ จารย์เลิกสอนซะ

 

บทจบอภิปราย อาจารย์ยังทิ้งท้ายอีกว่าในบริบทใหม่ คือโลกเปลี่ยน สังคมไทยก็เปลี่ยน ทำให้วันนี้ โจทย์ใหญ่ของเราคือ

ทำไมชนชั้นกลางไม่เอาประชาธิปไตย?วันนี้ อย่าฝันเกินจริง ด้วยอุดมคติที่สุดโต่ง และเชื่อว่าจะสามารถสร้างประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์แบบได้ ฯลฯครับ....ด้วยความเคารพ

 

ในฐานะคนชั้น ๒ ตึกแถว ในบริบท "โลกเปลี่ยน-สังคมไทยเปลี่ยน" ขอกราบเรียนอาจารย์ว่า คนชั้นกลางเอาประชาธิปไตยครับเพียงแต่ไม่เอาคนสอนประชาธิปไตยอย่างพวกอาจารย์เท่านั้นแหละพูดถึง โลกเปลี่ยน ตรงนี้ ผมเห็นด้วยแต่ตรงประเด็น "สังคมไทยเปลี่ยน" นี่ ผมว่า ก็แค่พูดกันไปแบบจินตนิยามมากกว่าสังคมไทยยังเหมือนเดิม ละครน้ำเน่า เรื่องเอาแล้วหย่า เรื่องดรามาการเมือง กระทั่งเรื่องแบบมึงกราบรถกูแบบนี้ ยังเป็นอาหารถูกปาก-ถูกจริต "ฮิตง่าย-ขายได้" ในสังคมไทยตายตัว ท่ามกลางสังคมโลกที่หมุนจี๋ไอ้ตำรา สอนคนเป็นปริญญาตรี-โท-เอก น่ะ

มันแค่ ใบตองอย่าไปสอนให้นิสิต-นักศึกษากินใบตองอยู่เลย. จารย์ สอนให้ "รู้จักแก้ห่อ" แล้วกินของที่อยู่ข้างในใบตองเหอะ"ของในห่อ" คือ เนื้อหาประชาธิปไตยหรือเผด็จการ มันก็นิยามนี้ มันแค่เปลือก ประโยชน์ เพื่อใช้ถนอมรักษาเนื้อใน

ไปทึกทัก "ยึดใบตอง" เป็นเนื้อหา ใบปริญญา ก็แค่ใบรับรองความโง่ใช่...รัฐประหารไม่สร้างประชาธิปไตย นี่นักทฤษฎีเขียนตำราให้เรียน

 

แต่ประชาธิปไตย เป็นตัวสร้างรัฐประหารมาตลอด นี่คือความจริงที่ตบหน้านักทฤษฎีมันไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวว่า อะไรสร้าง-ไม่สร้างอะไร อะไรดีกว่ากัน-เลวกว่ากันหรอกถ้ารู้จัก-เข้าใจ "วิถีห่อ-วิธีกินวิถีของห่อ ก็แค่แพ็กเกจจิงธรรมดาๆ ส่วนวิธีกิน ก็แกะเปลือกทิ้ง เอาเนื้อข้างในมากินไม่ใช่กินเปลือก-ทิ้งเนื้อ อย่างที่สวมกระบังตา ตะบี้-ตะบันสอนนิสิต-นักศึกษา ให้กินกันแต่ใบตองหรือเปลือกแล้วก็ท่องจำ ใบตองดี ใบตองอร่อย ใบตองกินแล้วให้สิทธิเสรีภาพ ตัวโต ฉลาด เหมือน ช้าง ม้า วัว ควาย

ผมฟังมาเป็นปี กับพวกจารย์รัฐศาสตร์จุฬาฯ-ธรรมศาสตร์บางคน ที่มานั่งจ้อหน้าจอทีวีแดงยกเปลือกเป็นกถามุข ชื่นชมโลมลูบ "ระบอบทักษิณ" โดยละเว้นหยิบเนื้อในมาพิจารณา แล้วบอกชาวบ้านว่าเปลือกประชาธิปไตย มีภาพยังประโยชน์และความสุขให้สังคมชาติ แต่เนื้อใน โกงเพื่อยังประโยชน์และความสุขให้คณะพรรคตัวเองตลอด?

 

ขณะเดียวกัน ถ้าเป็นรัฐบาลเผด็จการจานแก๊งนี้ก็จะยกเปลือกเผด็จการขึ้นขยี้ขยำตำป่นด้านเดียว ละเว้นที่จะหยิบเนื้อในมาพิจารณาว่าเผด็จการเข้ามาเพื่อ "สกัดโกง-ล้างชั่ว" นำชาติ-ประชาชน ขึ้นจากหล่มประชาธิปไตยกินเมืองหรือเพื่อเข้ามาใช้อำนาจนั้น โกงเอง-ชั่วเองเอ้า...ลองพิจารณานี่ แล้วตอบบ้างซิ๘๔ ปี ประชาธิปไตย หลังยึดอำนาจระบอบกษัตริย์มาแย่งฟัดกันเอง ระหว่าง ประชาธิปไตย กับ เผด็จการใครบริหารประเทศมากกว่ากัน?คำตอบ คือ "ประชาธิปไตยเลือกตั้ง" มากกว่า

 

ในเมื่อมากกว่า แล้วด้วยประชาธิปไตย ทำไมทั้งประเทศ ทั้งประชาชนจึงไม่พัฒนา-ก้าวหน้า ตามสรรพคุณยาประชาธิปไตย?ทำไมปัญหาพื้นฐาน เช่น สาธารณูปโภค จิตสำนึกสังคม การศึกษา การทำมาหากิน การพัฒนาทรัพยากรบุคคลกลับแย่ลง..แย่ลง ด้วยไม่ตอบโจทย์สังคมชาติล่ะ?ที่สำคัญ ประชาชนอ่อนแอลง ทั้งด้านวิสัยทัศน์และโลกทัศน์ ไม่ว่าวิถีชีวิตความเป็นอยู่ รวมถึงทัศนคติ-ความคิดต่อรากฐานมนุษย์จากเคยเป็นสังคมยืนได้ด้วยขาตัวเอง พึ่งตัวเองก่อนคิดพึ่งคนอื่น และเป็นชาติมีศีล-มีสัตย์แต่ด้วยรัฐบาลประชาธิปไตยบริหารประชาชนกลับง่อยเปลี้ยเสียขา ร้องแต่..อุ้มหน่อย..อุ้มหน่อย ระงมชาติจากความจนคือเป้าหมายมุ่งชนะเมื่อประชาธิปไตยบริหาร ความจนกลับเป็นของต้องสร้างรักษา เพื่อเอาไปแลกเงินรัฐบาลเลือกตั้งจากมีศีล-มีธรรม ยึดในชาติ-พระศาสนา-สถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยรัฐบาลประชาธิปไตยบริหารกลับมีคนโกง คนชั่วช้าหนาบาป คนจ้องล้มล้างทำลายสถาบัน ถึงขั้นทั้งเผา ทั้งชักน้ำเข้าลึก-ชักศึกเข้าบ้าน

"คนขายชาติ-คนชั่ว-คนเลว" ก็ยังยกย่องนับถือ ถ้ามีเงินบางจานมหาลัยไม่หือ-ไม่ติง ไม่เคยว่าชั่วร้าย แถมยังไปสุมหัว "ขายตัว-ขายชาติ" ด้วยกัน?สรุปแล้ว ทั้งประชาธิปไตย ทั้งเผด็จการ ไม่มีอย่างไหนดี-เลวกว่ากันและทั้งประชาธิปไตย-เผด็จการ ไม่ใช่คำตอบมนุษยชาติ ซึ่งที่สุดของการแก่งแย่ง ไขว่คว้าจะหยุดอยู่ที่คำว่า "สุขและสงบ"!ทั้ง ๒ อย่าง "แค่เปลือก"

จงดูที่เนื้อใน คือ การคิด-การทำ อันเป็นรูปธรรมผ่านงานบริหาร-ปกครองไม่มีระบบไหน ทำให้คนทั้งประเทศ "ได้ทุกอย่าง" ที่ทุกคนต้องการแต่ผู้บริหารในระบบนั้นๆถ้าสัจจะและจริงใจ สามารถทำให้คนทั้งประเทศ สุข-ด้วยพอใจ ทุกข์-ด้วยเข้าใจ บนฐานเหตุ-ปัจจัย ได้ทุกคน ถ้าบริหารยึดหลัก"สามัคคี-พึ่งพา-พอเพียงอาจารย์ก็บอกเองว่า ในบริบทใหม่ "โลกเปลี่ยน" ก็อยากบอกว่า"ประชาธิปไตย-เผด็จการ" ไม่เกี่ยวกับชนชั้นไหนจะเอา-ไม่เอาหรอก มันเกี่ยวตรงว่าเมื่อไหร่พวกอาจารย์จะเปลี่ยนชั้นสมองตัวเองกันซะที?

 

 

 

อ้างอิงจาก เปลวสีเงิน ไทยโพสต์

เรียบเรียงโดย ชนุตรา สำนักข่าวทีนิวส์