- 11 พ.ย. 2559
ติดตามรายละเอียด deeps.tnews.co.th
ท่ามกลางกระแสคัดค้านนายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ชนะการเลือกตั้งเข้าทำหน้าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกา แต่ท้ายสุดหลายฝ่ายยังเชื่อว่าประเทศที่อ้างเรื่องประชาธิปไตยเป็นใหญ่อย่างสหรัฐก็คงมีนายโดนัลด์ ทรัมป์ ทำหน้าที่เป็นผู้นำต่อจากนี้เป็นเวลา 4 ปี
ขณะที่ พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตรอง ผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊คเพจชื่อ Nuntdach Makswat สะท้อนมุมมองความเห็นต่ออนาคตภายหลังการเข้าบริหารประเทศของนายโดนัลด์ ทรัมป์ บางช่วงบางตอน ว่า “ เหตุผลบางประการที่ก่อให้เกิดเหตุการณ์ความวุ่นวายขณะนี้ ส่วนหนึ่งมาจากการที่ชาวอเมริกันส่วนหนึ่งผลประโยชน์ผูกพันกับนโยบายของนายบารัค โอบามา และนางฮิลลารี คลินตัน
1.คนกลุ่มนี้มีผลประโยชน์จากนโยบายของนางฮิลลารีอยู่ โดยเฉพาะกลุ่มที่อยู่ในสหรัฐฯ ได้ด้วยกรีนการ์ด หรือได้รับสิทธิเป็นพลเมืองมาใหม่ๆ ซึ่งมีบางส่วนที่ต้องการพาญาติพี่น้องเข้ามาอยู่ในสหรัฐฯ ด้วย จึงต่อต้านนโยบายของนายทรัมป์
2. กลุ่มบุคคลที่ทำงานด้านล็อบบี้ยิสต์หลายหมื่นคน, กลุ่มทำงานผิดกฎหมาย, กลุ่มที่เข้าไปเป็นโรบินฮู้ดหลบอยู่แต่มีภรรยาหรือสามีเป็นชาวสหรัฐฯ พวกนี้อีกหลายล้านคน โดยเฉพาะประเทศเม็กซิโก
3. กลุ่มนักธุรกิจซึ่งเห็นว่าทำงานกับกลุ่มนายโอบามาและนางฮิลลารีจะหากินได้ง่ายกว่ามาก
4. กลุ่มเครือข่าย CIA และกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ซึ่งได้รับงบประมาณมามากมายในการทำงานนอกประเทศ กินกันจนเพลิน ทำงานแค่คอยยุยงให้คนในประเทศต่างๆ ทะเลาะกันเอง
กลุ่มคนพวกนี้เองที่มีส่วนเข้าไปชี้นำให้เกิดการจลาจลขึ้นหลังจากทราบผลการเลือกตั้งว่า นางฮิลลารีแพ้ (เหตุการณ์แบบนี้ดูเหมือนประเทศไทย ตอนคุณอภิสิทธิ์ฯ ขึ้นมาเป็นนายกฯ ในปี 52 ใกล้เคียงกันมาก)
ส่วนผลดีต่อการที่นายทรัมป์ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีนั้นอยู่ที่แง่มุมของแต่ละคนจะคิด ซึ่งล้วนแต่เกี่ยวพันกับผลประโยชน์ส่วนตัว และผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ จึงปล่อยให้เป็นอิสระสำหรับแต่ละคนครับ สำหรับผมมีความเห็นส่วนตัวว่าน่าจะเป็นผลดีดังนี้
1.ไม่เกิดสงครามโลกแน่นอน
2. ISIS ก็จะขาดการสนับสนุน โดยที่สหรัฐฯ ก็ไม่ต้องเสียหน้าตาอะไร เพราะเปลี่ยนตัวประธานาธิบดีแล้ว
3. พวกต่อต้านสถาบันฯ ที่หนีไปอยู่สหรัฐฯ หลายคนก็จะเดือดร้อนไม่กล้าซ่าแบบเดิมอีก
เพราะคำสัญญาของนายทรัมป์ที่จะทำตามโรดแม็ปภายใน 100 วัน รวม 28 เรื่อง จะส่งผลต่อกลุ่มบุคคลเหล่านี้ไม่มากก็น้อย เช่นการควบคุมล็อบบี้ยิสต์ (เจ้าหน้าที่ประจำทำเนียบขาว ส.ส. หรือวุฒิสมาชิกคนใดที่พยายามทำหน้าที่เป็นล็อบบียิสต์ หลังพ้นตำแหน่งจะถูกตัดสิทธิ์การทำงานห้าปี, เจ้าหน้าที่ประจำทำเนียบขาวที่เป็นล็อบบียิสต์ของรัฐบาลต่างชาติ จะถูกตัดสิทธิ์การทำงานตลอดชีวิต, ออกกฎแบนล็อบบี้ยิสต์ต่างชาติที่พยายามอัดฉีดเม็ดเงินสำหรับการเลือกตั้งในสหรัฐฯ) ซึ่งจะทำให้อิทธิพลของพวกต่อต้านสถาบันฯ ในสหรัฐฯ ลดลงไปด้วย
ประกาศถอนตัวจากข้อตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก หรือ TPP ซึ่งทำให้รัฐบาลไทย และกลุ่มอาเซียนสบายใจขึ้นไปมาก เพราะการลงทุนนอกประเทศของนักธุรกิจไทยหลายคนก็จะชะงักลง กลับมาลงทุนที่ไทยตามเดิม และอีกสารพัดเรื่องครับ ซึ่งทำให้ไทยไม่ต้องกังวลเรื่องนี้อีกในการตอบโต้พวกต่อต้านสถาบันฯ ในสหรัฐฯ ต่อไปอีก
ยกเลิกงบอุดหนุนจากรัฐบาลกลางแก่บรรดาเมืองที่เป็น Sanctuary City (Sanctuary City มี 31 เมืองทั่วประเทศ อาทิ ลอสแองเจลิส, วอชิงตัน ดี.ซี., นิวยอร์กซิตี, เบิร์คลีย์ ซึ่งไม่มีนโยบายดำเนินคดีกับผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารตรวจคนเข้าเมือง
และเริ่มต้นขับไล่ผู้อพยพผิดกฎหมายที่เป็นผู้ต้องหาคดีอาญา ซึ่งมีกว่า 2 ล้านคนออกนอกประเทศ จากนั้นจะดำเนินมาตรการยกเลิกการให้วีซ่าแก่ประเทศใดๆ ก็ตามที่ไม่ยอมรับผู้อพยพเหล่านั้นกลับประเทศ ซึ่งนโยบายเช่นนี้จะส่งผลกระทบต่อกลุ่มต่อต้านสถาบันฯ ที่อาศัยอยู่ในสหรัฐฯ แน่นอนครับ !!!
เรียบเรียงโดย : ชัชรินทร์ สำนักข่าทีนิวส์