- 08 ธ.ค. 2559
ติดตามเรื่องราวดีๆ ได้ที่ http://panyayan.tnews.co.th/
วัดกู้ ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ตำบลบางพูด ในซอยปากเกร็ด 3 บริเวณริมน้ำหน้าวัดเป็นจุดที่เรือพระที่นั่งของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระมเหสีในรัชกาลที่ 5 ประสบอุบัติเหตุเรือล่มสิ้นพระชนม์ ด้านข้างวิหารพระนอนองค์ใหญ่ เป็นที่เก็บเรือพระที่นั่งของพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ที่อับปางซึ่งชาวบ้านได้กู้ขึ้นมา และมีพระตำหนักที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานที่สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์สิ้นพระชนม์
(พระนางเจ้าสุนันทากุมารีรรัตน์)
เมื่อคราวเรือล่มได้อัญเชิญพระศพมาไว้ที่วัดนี้ชั่วคราว มีศาลพระนางเรือล่ม (พระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์) ซึ่งจำลองแบบจากศาลาจตุรมุขของพระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ที่พระราชวังบางปะอิน
โดยก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุขึ้นนั้น พระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ ก็มีพระสุบินที่เป็นลางร้ายอยู่ก่อนหน้านั้น ดังบันทึกว่า
“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงตระหนักในพระราชหฤทัยว่า สมเด็จพระปิยมเหสีโปรดความรื่นรมย์ของพระราชวังบางปะอิน เมื่อเสด็จไปประทับครั้งใด ก็ทรงมีความชื่นบานสำราญพระราชหฤทัยยิ่ง
ฉะนั้น จึงมีพระราชดำริที่จะเสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานไปประทับแรม ณ พระราชวังบางปะอิน ช่วงระยะหนึ่ง โดยกำหนดวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๔๒๓ เป็นวันเสด็จพระราชดำเนิน
เหมือนหนึ่งจะทรงมีลางสังหรณ์ พอใกล้วันเสด็จฯ สมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงพระสุบินว่า พระองค์พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอฯ ได้เสด็จไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง
ขณะทรงพระดำเนินข้ามสะพาน สมเด็จพระเจ้าลูกเธอฯ บังเอิญพลาดพลัดตกลงไปในน้ำ ทรงคว้าพระหัตถ์สมเด็จพระเจ้าลูกเธอฯ ไว้ได้ครั้งหนึ่ง แต่แล้วก็ลื่นหลุดพระหัตถ์ไปอีก ทรงไขว่คว้าจนพระองค์เองตกน้ำไปด้วย ทรงหวั่นอยู่ในพระราชหฤทัยอยู่เหมือนกันว่า พระสุบินจะเป็นลางร้าย ทรงใคร่ที่จะระงับการโดยเสด็จไปบางปะอินอยู่เหมือนกัน
(เรือพระที่นั่งที่วัดกู้เก็บรักษาไว้)
แต่เมื่อทรงพระดำริว่า การที่พระองค์ไม่เสด็จ จะทำให้สมเด็จพระบรมราชสวามีเกิดความกังวลพระราชหฤทัย จึงตกลงพระราชหฤทัยโดยเสด็จพระราชดำเนิน ทั้งๆ ทรงหวั่นพระราชหฤทัยในพระสุบินนั้นอยู่
เมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้น และกู้พระศพได้จึงเป็นที่มาของชื่อวัดในกาลต่อมา
มีเรื่องบันทึกจากปากคำชาวบ้านในขณะที่งมพระศพขึ้นมาได้ว่า “ลักษณะของพระศพนั้น สร้างความเศร้าสลดให้กับผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก เมื่อสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ฯ ได้โอบกอดพระธิดาไว้แนบอก ส่วนสถานที่ที่พบพระศพนั้นก็คือใต้ซากเรือพระประเทียบนั้นเอง”
หลังจากที่พระองค์ประสบอุบัติเหตุเรือล่มจนสิ้นพระชนม์พร้อมพระเจ้าลูกเธอที่ บางพูดแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยุ่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราชหัตถเลขาเล่าเหตุการณ์พระราชทานไปยังพระยาเทพประชุน ข้าหลวงเมืองเชียงใหม่ ตอนหนึ่งว่า
"หญิงใหญ่นั้นเป็นคนว่ายน้ำแข็ง แจวเรือพายเรือได้แข็ง ที่ตายครั้งนี้เห็นจะเป็นเพราะห่วงลูก เพราะพี่เลี้ยงของลูกว่ายน้ำไม่เป็น"
(วัดกู้ในปัจจุบัน 2559)
นอกจากจะเป็นสถานที่รำลึกถึงสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารรีรัตน์แล้ว ชาวจังหวัดนนท์ จึงถือว่าวัดกู้ เป็นอีกสถานที่หนึ่ง ที่เป็นที่พึ่งทางใจ เพราะชาวบ้านที่นับถือศรัทธามักได้โชคลาภ และประสบการณ์แปลกประหลาดกันอยู่ถ้วนหน้า อย่างไรก็ดี มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับอาถรรพ์ของพระนางเรือล่มไม่จบสิ้น ดังกล่าว ก็ยังมีคนบางคนที่ไม่เชื่อ และลบลู่ความศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ ซึ่งเมื่อคนดังกล่าวพูดจาดูหมิ่น ก็เกิดอาการแปลก ๆ จู่ ๆ ก็วิ่งไปท่าน้ำ และกระโดดน้ำตาย บางคนก็ไปสาบาน บอกว่าถ้าผิดจริงขอให้จมน้ำตาย ซึ่งก็ได้จมน้ำตายจริง ๆ
ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังทรงสร้างอนุสรณ์แห่งรักไว้อีกที่ ที่จันทบุรี ด้วยเป็นที่ที่พระองค์และพระนางเจ้าสุนันทา โปรดปรานมาก
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสน้ำตกแห่งนี้หลายครั้ง ในระหว่างปี พ.ศ. 2417-2424 และทรงยกย่องว่าเป็นน้ำตกที่งดงามที่สุด ในบรรดาน้ำตกที่พระองค์เคยเสด็จประพาส
ทรงเสด็จประพาสถึง 12 ครั้งด้วยกัน และทรงโปรดให้สร้าง พีระมิดแห่งความรักเพื่อเป็นที่ระลึกแก่สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี ซึ่งภายในสถูปบรรจุพระอังคารของพระนางเจ้าฯ อีกด้วย จนชาวบ้านเรียกกันติดปากสืบมาว่า พีระมิดพระนางเรือล่ม
สถูปพระนางเรือล่ม สักการะอธิษฐานตรงนี้ ชีวิตรักมั่นคง ยั่งยืน
สถูปพระนางเรือล่ม อยู่ในบริเวณ น้ำตกพลิ้ว สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 (พ.ศ. 2424) เพื่อเป็นที่ระลึกแก่สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี ภายในสถูปพระนางเรือล่มบรรจุพระอังคารของพระนางเจ้าฯ ด้วย เนื่องจากพระองค์ท่านเคยเสด็จประพาส น้ำตกพลิ้ว เมื่อ พ.ศ. 2417 และทรงโสมนัส ชื่นชม ความงามธรรมชาติของน้ำตกพลิ้วยิ่งนัก
ซึ่งการที่ทรงโปรดให้สร้างอนุเสาวรีย์รูปปิรามิด ก็ด้วยทรงพระราชดำริว่า
"ทำเป็นรูปอื่นอาจไม่คงทนภาวร เพราะตั้งอยู่กลางป่าเขาลำเนาไพร อันไม่มีผู้ดูแล ฉะนั้น เมื่อปิรามิดของอียิปต์ยืนยงคงทนได้ฉันใด ปิรามิดน้อยนี้ก็คงจะยืนยงคงทนอยู่เช่นกัน ณ ท่ามกลางป่าและเสียงไหลรินของธารพลิ้ว"
อลงกรณ์เจดีย์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วย พระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวีอัครมเหสี ได้ทรงโปรดปรานให้สร้างเจดีย์ทำด้วยศิลาแลงขึ้น ที่บริเวณหน้าผาด้านหน้า น้ำตกพลิ้ว เมื่อ พ.ศ. 2419 เพื่อเป็นที่ระลึกในการเสด็จประพาส น้ำตกพลิ้ว ด้วยกัน และพระราชทานนามว่า "อลงกรณ์เจดีย์" พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรด น้ำตกพลิ้ว เป็นอย่างยิ่ง และได้เสด็จประพาสหลายคราว ทรงโปรดมาก ถึงกับมีพระราชดำรัสว่า "เราได้เห็นน้ำตกอย่างนี้มาสองสามแห่ง คือที่ปีนัง เกาะช้าง และสีพยา เห็นไม่มีที่ไหนจะงามกว่าที่นี่เลย ถ้าจะให้เรานั่งดูอยู่ยังค่ำก็แทบจะได้ด้วยเย็นสบายจริง"
อุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว มีพื้นที่ครอบคลุมท้องที่อำเภอเมือง อำเภอแหลมสิงห์ อำเภอขลุง และอำเภอมะขาม จังหวัดจันทบุรี มีเนื้อที่ประมาณ 134.50 ตารางกิโลเมตร หรือ 84,062.50 ไร่ ประกอบด้วยป่าที่สมบูรณ์ เทือกเขาสูงสลับซับซ้อน ทำให้มีอากาศจะเย็นสบายตลอดทั้งปี ยอดเขาสลับซับซ้อนสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางตั้งแต่ 20-924 เมตร จุดสูงสุดของพื้นที่อยู่ที่ ยอดเขามาบหว้ากรอก มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 924 เมตร และเป็นแหล่งต้นน้ำลำธารหลายสาย อยู่ห่างจากจังหวัดจันทบุรีประมาณ 14 กิโลเมตร ถนนลาดยางตลอดสายทำให้สะดวกสบายในการไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ
ข่าวโดย : ทิพย์วารี (ทีมข่าวปัญญาญาณ ทีนิวส์)