- 17 ม.ค. 2560
บันทึกหน้าประวัติศาสตร์ไทย "พล.อ.ประยุทธ์" รับ "พระราชทาน" รธน. 11 อรหันต์ปรับเนื้อหา หมวดพระมหากษัตริย์สู่อนาคต (รายละเอียด)
บันทึกหน้าประวัติศาสตร์ไทย "พล.อ.ประยุทธ์" รับ "พระราชทาน" รธน. 11 อรหันต์ปรับเนื้อหา หมวดพระมหากษัตริย์สู่อนาคต
จากกรณีการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชามติ หมวดพระมหากษัตริย์ ที่ได้มีการแต่งตั้ง 10 อรหันต์ ที่ล้วนจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายแถวหน้าของเมืองไทย และทั้งหมดเป็นกรรมการกฤษฎีกาโดยมีหน้าที่ยกร่างเฉพาะมาตรา-ตรวจสอบให้เป็นไปตามข้อสังเกตพระราชทาน ย้ำไม่แตะสิทธิเสรีภาพ โครงสร้างการเมือง ทุกขั้นตอนเป็นไปตามโรดแมปต้องแก้ในส่วนประธานองคมนตรีทำหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์อัตโนมัติ เนื่องจากจะทรงแต่งตั้งหรือไม่ก็ได้
แต่ล่าสุดเมื่อวานที่ผ่านมา (16/11/2560) นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ได้มีการตั้งกรรมการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชามติเพิ่มเข้าไปอีก 1คน คือ นายนรชิต สิงหเสนี โฆษกกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) รวมทั้งสิ้น 11 คน นอกจากนี้ ยังแต่งตั้งให้นายปกรณ์ นิลประพันธ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา และเลขานุการ กรธ. ให้เป็นเลขานุการคณะกรรมการชุดดังกล่าว การแต่งตั้งกรรมการเพิ่มอีก 1 คนครั้งนี้เพื่อรองรับกรณีองค์ประชุมไม่ครบ เพราะได้รับแจ้งจากกรรมการหลายคนว่าจะเดินทางไปต่างประเทศ แต่จะมีการประชุมถี่มาก จะประชุมกันครั้งแรกในวันที่ 17 มกราคม เพื่อเตรียมการในการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชามติ ซึ่งพอรู้อยู่แล้วบ้างว่าจะต้องแก้ไขอย่างไร
โดยคณะกรรมการจะใช้เวลาแก้ไขให้เร็วกว่า 15 วัน เผื่อเหลือเวลาให้กองอาลักษณ์ได้มีเวลาเขียนลงในสมุดไทย รวมกระบวนการทั้งหมดนายกฯจะต้องนำขึ้นทูลเกล้าฯภายใน 30 วันนับตั้งแต่วันที่ขอพระราชทานกลับคืนมา
ถ้าหากเราย้อนไปถึงคำสัมภาษณ์ ของ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรธ.เมื่อวันที่ (10/01/2560) ถึงการแก้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชามติ หมวดพระมหากษัตริย์ โดยประกรธ.ได้กล่าวถึงกรณีที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) และคณะรัฐมนตรี(ครม.) มีมติร่วมเสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 ให้กับสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)พิจารณาแก้ไข ในส่วนของการแก้ไขเพิ่มเติมร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับที่ผ่านประชามติ ตามที่พระมหากษัตริย์ทรงมีข้อสังเกตว่า สมควรแก้ไขข้อความใด ว่า กระบวนการแก้ไขเพิ่มเติมข้อความในร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านประชามตินั้น เป็นเรื่องของนายกฯ ที่จะดำเนินการ เพราะในมาตรา 4 ที่ขอแก้ไขมาตรา 39/1วรรคสิบเอ็ดให้เป็น ข้อความใหม่นั้น ระบุไว้ชัดเจนว่า กรณีที่พระมหากษัตริย์พระราชทานข้อสังเกตว่า สมควรแก้ไขเพิ่มเติมข้อความใด ภายใน 90 วัน ให้นายกรัฐมนตรีต้องขอรับพระราชทานรัฐธรรมนูญนั้นคืนมา เพื่อดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมเฉพาะประเด็นตามข้อสังเกตนั้น ซึ่งในกระบวนการที่จะเกิดขึ้นต่อจากนั้น คือ นายกรัฐมนตรีต้องดำเนินการ ไม่เป็นหน้าที่ของกรธ. ที่ต้องดำเนินการ เพราะหน้าที่ของกรธ. นั้นเสร็จสิ้นไปแล้ว ตั้งแต่ที่ส่งร่างรัฐธรรมนูญฉบับผ่านประชามติให้นายกรัฐมนตรี ดำเนินการทูลเกล้าฯ เพื่อให้พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยแล้ว ตอนนี้ ถือว่า กรธ.มีเวลาทำกฎหมายลูกมากขึ้น ถือเป็นผลดี ส่วนจะเริ่มนับหนึ่งแล้วส่งสนช.เมื่อไหร่ ต้องขึ้นอยู่กับที่รัฐธรรมนูญประกาศใช้บังคับ
โดยในวันเดียวกันนี้นั้น นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงมติที่ประชุมร่วมคณะรัฐมนตรี (ครม.) และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ให้แก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราว ปี 2557 เพื่อเปิดทางแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญที่ทูลเกล้าไปแล้วว่า เป็นการดำเนินการให้สามารถขอรับพระราชทานร่างรัฐธรรมนูญที่ทูลเกล้าไปแล้ว กลับมาปรับปรุงบางมาตราตามที่มีการแจ้งมา ซึ่งมีไม่กี่มาตราโดยทั้งหมดต้องทำให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน หลังได้รับพระราชทานกลับคืนมา
เมื่อถามว่า ใครจะเป็นผู้ดำเนินการแก้ไข นายวิษณุ กล่าวว่า ตามหลักการจะให้นายกฯ เป็นผู้แก้ตามที่ได้รับการแจ้งมา ซึ่งนายกฯมีดำริจะตั้งคณะกรรมการพิเศษซึ่งเป็นบุคคลจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาขึ้นมา ประมาณ 8-10 คน เพื่อดำเนินการ และสิ่งที่จะดำเนินการไม่เกี่ยวพันกับเรื่องสิทธิเสรีภาพ โครงสร้างทางการเมือง การเลือกตั้ง หรือกระบวนการใดๆ ทางการเมืองทั้งสิ้น เป็นเรื่องเกี่ยวกับหมวดพระมหากษัตริย์ ในมาตรา และเข้าใจว่า เมื่อแก้ไขเสร็จแล้วจะเข้าเงื่อนไขเดิม ตามกรอบระยะเวลา 90 วัน
นับจากที่นายกฯ ได้นำร่างรัฐธรรมนูญที่แก้ไขครั้งใหม่แล้วขึ้นทูลเกล้าฯ
เมื่อถามว่า มาตราที่จะแก้ไข คือ มาตรา 5, 17 และ 182 ใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ในหลักการเป็นเช่นนั้น แต่ก็ต้องดูว่าทั้งสามมาตราที่พูดถึงจะเกี่ยวพันกับมาตราใดอีกบ้าง หากมีก็ต้องตามไปแก้ด้วย ยืนยันจะไม่มีส่วนใดไปกระทบกับสิทธิเสรีภาพ โครงสร้างทางการเมือง รัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระ และ ณ วันนี้ รัฐบาล ยังคงยืนยันในโรดแมปเดิมอยู่ เพราะในที่ประชุมร่วมได้พูดเรื่องนี้ชัดเจนแล้ว
โดยล่าสุดเมื่อวานที่ผ่านมานั้น(16/01/2560) ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศราชกิจจานุเบกษา เรื่องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2560 ระบุว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชโองการโปรดเกล้าฯให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ตรารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 แก้ไขเพิ่มเติมขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้
มาตรา 1 รัฐธรรมนูญนี้เรียกว่า "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2560"
มาตรา 2 รัฐธรรมนูญนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป
มาตรา 3 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสามของมาตรา 2 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557
"ในเมื่อพระมหากษัตริย์จะไม่ประทับ อยู่ในราชอาณาจักร หรือจะทรงบริหารพระราชภาระไม่ได้ด้วยเหตุใดก็ตาม จะทรงแต่งตั้งผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ หรือไม่ก็ได้ และให้ประธานรัฐสภาเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้ง และเมื่อกรณีเป็นไปตามมาตรานี้แล้ว มิให้นำความในมาตรา 18 มาตรา 19 และมาตรา 20 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาใช้บังคับ"
มาตรา 4 ให้ยกเลิกความในวรรคสิบเอ็ดของมาตรา 39/1 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2559 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "เมื่อนายกรัฐมนตรีนำร่างรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายตามวรรคเก้าประกอบกับวรรคสิบแล้ว หากมีกรณีที่พระมหากษัตริย์พระราชทานข้อสังเกตว่า สมควรแก้ไขเพิ่มเติมข้อความใดภายในเก้าสิบวัน ให้นายกรัฐมนตรีขอรับพระราชทานร่างรัฐธรรมนูญนั้นคืนมา เพื่อดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมเฉพาะประเด็นตามข้อสังเกตนั้นและประเด็นที่เกี่ยวเนื่อง และแก้ไขเพิ่มเติมคำปรารภของร่างรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องกัน แล้วให้นายกรัฐมนตรีนำร่างรัฐธรรมนูญที่แก้ไขเพิ่มเติมขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายใหม่ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับพระราชทานคืนมาตามที่ขอ
เมื่อนายกรัฐมนตรีนำร่างรัฐธรรมนูญที่แก้ไขเพิ่มเติมขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายและ ทรงลงพระปรมาภิไธยแล้ว ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา และใช้บังคับได้ โดยให้นายกรัฐมนตรีลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ ในกรณีที่พระมหากษัตริย์ไม่ทรงเห็นชอบด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญหรือร่างรัฐธรรมนูญที่แก้ไขเพิ่มเติมและพระราชทานคืนมา หรือเมื่อพ้นเก้าสิบวันนับแต่วันที่นายกรัฐมนตรีนำร่างรัฐธรรมนูญหรือร่างรัฐธรรมนูญที่แก้ไขเพิ่มเติมแล้วแต่กรณีขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายแล้วมิได้พระราชทานคืนมา ให้ร่างรัฐธรรมนูญหรือร่างรัฐธรรมนูญที่แก้ไขเพิ่มเติมนั้นเป็นอันตกไป"
หมายเหตุ เหตุผลในการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 แก้ไขเพิ่มเติมฉบับนี้ คือ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้นำร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. .... ขึ้นทูลเกล้าฯถวาย เพื่อทรงพิจารณานั้น ต่อมาคณะรัฐมนตรีและคณะรักษาความสงบแห่งชาติได้พิจารณาร่วมกันแล้วเห็นว่า สมควรแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 จึงจำเป็นต้องตรารัฐธรรมนูญนี้