ยิ่งคุ้ย ยิ่งเจอ!!! คดีครูจอมทรัพย์ ตร.เจอหลักฐาน"สับ วาปี"เคยให้ปากคำไม่ใช่คนขับรถชนคนตาย (รายละเอียด)

ยิ่งคุ้ย ยิ่งเจอ!!! คดีครูจอมทรัพย์ ตร.เจอหลักฐาน"สับ วาปี"เคยให้ปากคำไม่ใช่คนขับรถชนคนตาย (รายละเอียด)

 ความคืบหน้า คดีนางจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร อายุ 54 ปี อดีตข้าราชการครูในจังหวัดสกลนคร ร้องกระทรวงยุติธรรมขอรื้อฟื้นคดีที่ตกเป็นผู้ต้องหาขับรถชนนายเหลือ พ่อบำรุง เสียชีวิต ทำให้ต้องติดคุก โดยเหตุเกิดเมื่อวันที่ 11 มีนาคม  2548   ต่อมามี นายสับ วาปี  อายุ  60 ปี ออกมายอมรับว่าเป็นเจ้าของรถ และเป็นคนขับรถยนต์อีซูซุ ทะเบียน บค 56 มุกดาหาร ชนคนตาย ซึ่งศาลจังหวัดนครพนมนัดไต่สวนในวันที่ 8-10 ก.พ. นี้

 

 ล่าสุด เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบเอกสารหลักฐาน และสอบพยานเพิ่มเติม เพื่อดำเนินคดีกับกลุ่มคนที่เชื่อว่า เป็นขบวนการที่ออกมารับผิดแทน ซึ่งจะมีการดำเนินคดีภายหลังศาลสืบพยาน เพื่อให้เป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบของตำรวจพบเอกสารหลักฐานสำคัญที่เกี่ยวข้องกับ นายสับ วาปี บุคคลที่อ้างว่า เป็นคนขับรถยนต์ชนตัวจริง ในเอกสารคำให้การตำรวจ เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2556 ระบุว่า นายสุริยา นวนเจริญ ได้พา นายเสริฐ รูปสะอาด อายุ 53 ปี พร้อมด้วย นายสับ วาปี อายุ 60 ปี เข้าไปพบพนักงานสอบสวน ที่ สภ.เรณูนคร ซึ่งเป็นพื้นที่รับผิดชอบในการดำเนินคดี ในปี 2548 โดยมีการยืนยันในเอกสารกับทางตำรวจว่า นายสับ วาปี เป็นเจ้าของรถยนต์อีซูซุ รุ่นเก่า สีเขียว ทะเบียน กค 56 มุกดาหาร แต่ขายให้ นายเสริฐ รูปสะอาด ไปแล้ว และยืนยันว่านายเสริฐ รูปสะอาด เป็นคนขับรถคันดังกล่าวไปเกิดอุบัติเหตุชนรถจักรยาน ทำให้ นายเหลือ พ่อบำรุง ที่ปั่นจักรยานเสียชีวิต

 

เจ้าหน้าที่ยังพบเอกสารการให้ปากคำ ครั้งที่ 2 ของ นายสับ  โดยมีการบันทึกให้ปากคำตำรวจที่ สภ.นาโดน อ.เรณูนคร จ.นครพนม เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2557 ว่า เป็นคนขับรถยนต์ กระบะชน นายเหลือ เสียชีวิต เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2548  ซึ่งเป็นการให้ปากคำที่ไม่ตรงกัน กับเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2556
 

นอกจากนี้ ยังมีหลักฐานพยานเพิ่มอีกคือ นายอุบล ไชยบัน อายุ 65 ปี ชาว จ.มุกดาหาร ที่ออกมายืนยันว่า รถยนต์ บค 56 มุกดาหาร ได้ซื้อมาใช้งานในช่วงปี 2547 และขายไปในปี 2550 พร้อมยืนยันว่าไม่เคยมีใครขับรถไปชนในปี 2548 แต่รถคันดังกล่าวเอกสารการครอบครองเป็นของ นายสับ วาปี ไม่ได้มีการโอนกรรมสิทธิ์ตั้งแต่ซื้อมา เพราะสภาพรถเก่าแล้ว ซื้อขายกันธรรมดา ซึ่งทั้งหมดเป็นหลักฐานสำคัญที่ตำรวจจะนำไปดำเนินคดีกับกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องเป็นขบวนการรับจ้างออกมารับทำผิดแทนในคดีนี้


อย่างไรก็ตาม  นางเริม อุคำพันธ์ ภรรยา นายเสริฐ ยืนว่า สามีตนไม่ได้รับจ้างติดคุกแทนอย่างแน่นอน ที่ผ่านมาเคยสอบถามกับสามีหลายครั้งแล้วและสามีตนไม่มีพฤติกรรมเช่นนั้นแน่นอน

 

 

 

 

เรียบเรียงโดย  นาตยา เอนกธนะเศรษฐ์  สำนักข่าวทีนิวส์