เกิดเรื่องอัศจรรย์อีกแล้ว!!! กรมที่ดินแจ้งหลักฐานใหม่"ในหลวง ร.9"เคยพระราชทานที่ดิน ปี 2519 ชาวเลเกาะพีพีนำพิสูจน์สิทธิ์สู้นายทุนรุกยึดครอง

จากรณีนางบุญศรี ตันติวัฒนวัลลภ กับพวก เจ้าของโฉนดที่ดินเลขที่ 8324 เนื้อที่ 12 ไร่ หมู่ 2 บ้านราไวย์ อ.เมือง จ.ภูเก็ต ยื่นฟ้องขับไล่ นายแอ่ว หาดทรายทอง นายวรณัน หาดทรายทอง นายบัญชา หาดทรายทอง และนายนิรันดร์ หยังปาน ชาวเลราไวย์ หมู่ที่ 2 ต.ราไวย์ จ.ภูเก็ต รวม 4 คดี โดย ศาลจังหวัดภูเก็ต นายพีระพงษ์ เภรีฤกษ์ ผู้พิพากษาศาลจังหวัดภูเก็ตได้อ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้น ซึ่งในการฟังคำพิพากษาครั้งนี้มีกลุ่มชาวเลมาร่วมให้กำลังใจอยู่บริเวณด้านหน้าศาลจังหวัดภูเก็ตจำนวน 100 คน กระทั่งเวลาผ่านไปประมาณ 1 ชั่วโมง นายนิรันดร์ หยังปาน ได้ลงมาแจ้งต่อชาวบ้านถึงผลการตัดสินของศาลกับชาวเลราไวย์ที่มารออยู่ทราบต่างร้องไห้ด้วยความยินดี โดยศาลได้มีคำสั่งยกฟ้อง และในการวินิจฉัยนั้นศาลได้พิจารณาในหลายประเด็น โดยเฉพาะภาพการเสด็จประพาสหมู่บ้านชาวเลของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เมื่อปี 2502 ตามที่ได้เสนอข่าวไปก่อนหน้านั้น

 

 

 

ที่สุดแห่งอัศจรรย์!! ชาวเลราไวย์ร่ำไห้ศาลภูเก็ตยกฟ้องรุกที่ดินนายทุน
มีพยานสำคัญเป็นภาพในหลวง ร.9 เสด็จเยี่ยมชาวเลปี 2502!! (คลิก)

 

 

 

ล่าสุด พลเอกสุรินทร์ พิกุลทอง ประธานคณะกรรมการแก้ไขปัญหาความมั่นคงในที่อยู่อาศัย พื้นที่ทำกินและพื้นที่ทางจิตวิญญาณของชุมชนชาวเล สำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการฯ เมื่อวันที่ 2 ก.พ.60 ที่ผ่านมา ได้มีการพิจารณากรณีข้อพิพาทของชาวเลหาดราไวย์ โดยหยิบยกคำพิพากษาศาลภูเก็ตยกฟ้องชาวเล 4 ราย หลังจากถูกเอกชนฟ้องร้องให้ออกจากที่ดินบริเวณหาดราไวย์ ซึ่งศาลเชื่อว่า ชาวเลอยู่มาก่อนโดยมีหลักฐานต่างๆ มากมาย ซึ่งเรื่องนี้ในที่ประชุมเห็นว่า กรมที่ดินควรเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ออกไป โดยก่อนหน้านี้ ทางคณะกรรมการฯ เคยทำเรื่องเสนอให้อธิบดีกรมที่ดินใช้อำนาจเพิกถอน แต่ได้รับคำตอบว่า เป็นการออกเอกสารสิทธิ์ถูกต้องแล้ว ดังนั้น เมื่อมีผลคำพิพากษาออกมาอีก จึงจะทำเรื่องไปถึงอธิบดีกรมที่ดินอีกครั้งโดยแนบคำพิพากษาของศาลไปด้วย

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวง ร.9
เสด็จเยี่ยมราษฎร ที่เกาะพีพี วันที่ 19 เม.ย. 2516

 

 

 

เดิมที่คณะกรรมการฯ เสนอให้กรมที่ดินเพิกถอนเอกสารสิทธิ์นั้นจำนวน 19 ไร่ แต่คำพิพากษาของศาลภูเก็ตเมื่อวันที่ 31 ม.ค.60 ที่ผ่านมา เป็นการยกฟ้องชาวเล 4 รายในพื้นที่ 12 ไร่ ดังนั้น จึงน่าจะดำเนินการส่วนนี้ได้ก่อน เพราะเป็นที่ดินซึ่งยังไม่เปลี่ยนมือ อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้เคยเสนอไปแล้วว่าเมื่อมีการเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ หากมีเอกชนที่ซื้อที่ดินต่อๆ มา รัฐบาลก็ควรเยียวยาเอกชนเหล่านี้ ซึ่งในที่ประชุมกล่าวว่า หากอธิบดีกรมที่ดินยังกลัวเรื่องการถูกฟ้องร้องอีก ก็ควรเสนอให้ท่านนายกรัฐมนตรี ใช้อำนาจตามมาตรา 44 เพื่อเป็นเกราะให้กับท่านอธิบดี แต่เรื่องนี้คงต้องไปดูกันในรายละเอียดข้อกฎหมายด้วย

 

 

 

ชาวเลบ้านแหลมตงอยู่กันอย่างแออัด

 

 

อีกทั้ง ในที่ประชุมยังได้พิจารณาความเดือดร้อนของชาวเลบนเกาะพีพีที่กำลังถูกไล่ออกจากพื้นที่ โดยผู้แทนกรมที่ดินได้นำเอกสารใหม่มาแจ้งให้ทราบว่า เมื่อปี 2519 ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้เคยพระราชทานที่ดินจำนวน 2 ไร่ ให้เป็นที่อยู่ของชาวเล นั้นหมายความว่า มีพื้นที่จำนวน 2 ไร่ที่ไม่ใช่ที่ดินเอกชน แต่ยังไม่รู้ว่าเป็นผืนไหน ซึ่งตรงนี้ เป็นเรื่องใหม่ที่ไม่เคยมีใครทราบมาก่อน ดังนั้น จึงได้บอกให้ผู้แทนกรมที่ดินไปค้นหารายละเอียดกลับมารายงานอีกครั้ง

ชายหาดแหลมตงที่คึกคักด้วยนักท่องเที่ยวต่างชาติ

 

 

 

จากการลงพื้นที่สำรวจเกาะพีพี จังหวัดกระบี่ พบว่า ที่ดินที่เคยเป็นที่อยู่ของชาวเลเกือบทั้งหมด ขณะนี้ ถูกเอกชนเข้าจับจองและออกเป็นเอกสารสิทธิ์โดยสร้างเป็นโรงแรมและที่พักสำหรับรองรับนักท่องเที่ยว โดยชาวเลส่วนใหญ่ต้องอาศัยอยู่กันอย่างแออัดประมาณ 200 คนในชุมชนแหลมตง เนื้อที่ราว 2 ไร่ โดยที่ดินผืนนี้ เป็นของชาวเลรายหนึ่งที่ได้รับมรดกมาจากพ่อ อย่างไรก็ตาม และตอนนี้ชาวเลอาจไม่มีที่อยู่อีกต่อไป เพราะที่ดินผืนนี้อาจนำไปให้เอกชนเช่าทำธุรกิจ โดยขณะนี้ชาวเลแหลมตงบนเกาะพีพี นอกจากกำลังประสบปัญหาความไม่มั่นคงในที่อยู่อาศัยแล้ว ยังมีปัญหาอื่นอีกหลายประการ เช่น เส้นทางเดินเท้าไปโรงเรียนของเด็กๆ ที่เคยใช้มานานถูกเอกชนปิดกั้นจนต้องเดินอ้อมไปทางอื่น เช่นเดียวกับปัญหาสุสานหรือหลุมฝังศพที่ถูกบุกรุก

 

 

 

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์ บรมราชินีนาถ
เสด็จเยี่ยมราษฎร ที่เกาะพีพี วันที่ 19 เม.ย. 2516

 

 

 

ทั้งนี้ จากข้อมูลประวัติชุมชนของชาวเลบ้านแหลมตง ระบุว่า บรรพบุรุษของชาวเลกลุ่มนี้ เคยอาศัยอยู่บนเกาะไห เกาะกระดานและเกาะลันตา ฯลฯ ก่อนที่จะตั้งรกรากแบบถาวรบนฝั่งตะวันตกของเกาะพีพี ซึ่งเป็นหาดทรายราวตลอดแนว ซึ่งในอดีตชาวเลต่างอยู่กันกระจัดกระจายทั่วไปในพื้นที่กว่า 200 ไร่ จนกระทั่งเมื่อ 30-40 ปีก่อน เริ่มมีบุคคลภายนอกเข้ามา ทำให้ชาวเลต้องถอยร่นไปเรื่อยๆ เพราะโดยนิสัยแล้ว ชาวเลมักไม่สุงสิงกับคนภายนอก เพราะรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อย

 

 

 

สภาพการเป็นอยู่ของชาวเลบนเกาะพีพี

 

 

 

ต่อมาเมื่อรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยว ทำให้มีคนภายนอกเข้ามากว้านซื้อที่ดินของชาวเล แต่ส่วนใหญ่เป็นการหลอกขาย เช่น เอาเหล้ามาแลกแล้วให้ชาวเลเซ็นชื่อ บ้างก็ใช้วิธีข่มขู่หรือจ่ายเงินให้เพียงไม่กี่หมื่นบาท ขณะเดียวกันยิ่งมีนักท่องเที่ยวเข้ามามากเท่าไหร่ ชาวเลก็ยิ่งลำบากเพราะถูกรุกไล่ให้ออกจากพื้นที่ ที่สำคัญชาวเลยังถูกห้ามประกอบอาชีพจับปลาหรือสัตว์ทะเล เพราะพื้นที่ในทะเลจำนวนมากถูกกำหนดจุดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว ในที่สุดชาวเลจึงหาทางออกด้วยการรับจ้างขับเรือบริการนักท่องเที่ยว และเป็นพนักงานตามโรงแรมหรือรีสอร์ทต่างๆ

 

 

 

ทางเท้าดั้งเดิมของเด็กนักเรียนที่ถูกปิดกั้นเพราะเอกชนอ้างกรรมสิทธิ์

 

 

 

 

เรียบเรียงโดย กำพลาภร สำนักข่าวทีนิวส์