#หลักการณ์พิจารณา ว่า เป็นการป้องกัน #พอสมควรแก่เหตุ พิจารณาหลักเกณฑ์ 2 ประการ คือ 1.# การเทียบสัดส่วนแห่งภัย หากมีภัยที่มีมาอาจทำให้ถึงตาย ก็สามารถตอบโต้ให้ถึงตายได้เช่นกัน เช่น กำลังลากหญิงเข้าป่าข้างทาง เพื่อข่มขืน หญิงใช้มีดแทงไปหลายทีจนตาย เป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ (ฎีกาที่ 1826/2530) แต่ถ้าหากทรัพย์ที่ลักมีราคาเพียงเล็กน้อย เช่นลักปลากัด ก็เป็นการป้องกันเกินสัดส่วนแห่งภัย ( ฎีกาที่ 6490/2548) หรือ 2.# ต้องเป็นวิถีทางน้อยที่สุด ที่จะทำได้ มิฉะนั้นจะไม่พ้นภัย (ไม่ต้องเทียบสัดส่วนแห่งภัย) คือ #ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนั้นเอง (ฎีกาที่ 6077/2546) เช่นมีคนจะเอาไม้มาตีจำเลยไม่มีสิ่งใดที่นำมาป้องกันตนได้นอกจากมีด จึงแทงสวนไป เป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ (ฎีกาที่ 1430/2500) ผู้ตายเข้าไปฉุดลูกสาวของจำเลยในบ้าน จำเลยเป็นหญิง #ไม่มีทางเลือกที่จะป้องงกันด้วยวิธีอื่น จึงใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย การกระทำเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ (ฎีกาที่ 555/2530) ตามตัวอย่าง 2 ฎีกาดังกล่าว พอจะเปรียบเทียบกับ เคสวิศวกร ยิงนักเรียน ม.4 หรือไม่ คือ
มีโอกาสหรือทางเลือกอื่นให้พ้นภยันตรายหรือไม่ มีโอกาสเลือกจะยิงหรือไม่ยิงได้หรือไม่ ถ้าไม่ยิง จะเป็นภัยต่อตนเองและครอบครัวหรือไม่ มีโอกาสที่จะเลือกยิงได้หลายครั้งหรือครั้งเดียว ในกรณีนี้ ใช้อาวุธปืนยิงเพียงครั้งเดียว และภยันตรายได้ผ่านไปแล้ว ได้มีการยิงซ้ำหรือไม่ มีโอกาสที่ระรู้ล่วงหน้าหรือไม่ว่า กลุ่มนักเรียนที่เข้ามาล้อมจะมีอาวุธร้ายแรงติดตัวมาด้วยหรือไม่
สิ่งเหล่านั้ เป็นข้อสงสัยเล็กน้อย ท่านลองเอาไปเปรียบเทียบกับ หลักกฎหมายที่ผมกล่าวมาแล้วข้างต้นครับ"
ขอบคุณข้อมูลจากเฟชบุ๊คเกิดผล แก้วเกิด
วิทย์ณเมธา สำนักข่าวทีนิวส์