ทุกสิ่งเป็นไปได้ด้วยฤทธิ์อภิญญาญาณ! ความอัศจรรย์4ประการในวันมาฆบูชา ไขปริศนาพระสงฆ์ชุมนุมกัน 1,250 รูป ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

ติดตามเรื่องราวดีๆ ได้ที่ http://www.tnews.co.th

ปัจจุบัน วันมาฆบูชาได้รับการประกาศให้เป็นวันหยุดราชการในประเทศไทย โดยพุทธศาสนิกชนทั้งพระบรมวงศานุวงศ์พระสงฆ์และประชาชนประกอบพิธีต่างๆ เช่น การตักบาตร การฟังพระธรรมเทศนา การเวียนเทียน เป็นต้น เพื่อบูชารำลึกถึงพระรัตนตรัยและเหตุการณ์สำคัญดังกล่าวที่ถือได้ว่า เป็นวันที่พระพุทธเจ้าประทานโอวาทปาฏิโมกข์ ซึ่งกล่าวถึงหลักคำสอนอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้แก่ การไม่ทำความชั่วทั้งปวง การบำเพ็ญความดีให้ถึงพร้อม และการทำจิตของตนให้ผ่องใส เพื่อเป็นหลักปฏิบัติของพุทธศาสนิกชนทั้งมวล

 

จาตุรงคสันนิบาต

คัมภีร์สุมังคลวิลาสินี อรรถกถามหาปทานสูตร ระบุว่าหลังจากพระพุทธเจ้าเทศนา "เวทนาปริคคหสูตร" (หรือทีฆนขสูตร) ณ ถ้ำสูกรขาตา เขาคิชฌกูฎ จบแล้ว ทำให้พระสารีบุตรได้บรรลุอรหัตตผล จากนั้นพระองค์ได้เสด็จทางอากาศไปปรากฏ ณ วัดเวฬุวันมหาวิหาร ใกล้กรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ แล้วทรงประกาศโอวาทปาติโมกข์แก่พระภิกษุจำนวน 1,250 รูป โดยจำนวนนี้เป็นบริวารของชฏิลสามพี่น้อง 1,000 รูป และบริวารของพระอัครสาวก 250 รูป

การประชุมสาวกครั้งนั้นประกอบด้วย  "องค์ประกอบอัศจรรย์ 4 ประการ" คือ

1.             วันดังกล่าวตรงกับวันเพ็ญเดือน 3

2.             พระภิกษุทั้ง 1,250 องค์นั้น ได้มาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย

3.             พระภิกษุเหล่านั้นเป็นพระอรหันต์ทรงอภิญญา 6

4.             พระภิกษุเหล่านั้นไม่ได้ปลงผมด้วยมีดโกน เพราะพระพุทธเจ้าประทาน "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" ด้วยพระองค์เอง

ดังนั้นจึงมีคำเรียกวันนี้อีกคำหนึ่งว่า "วันจาตุรงคสันนิบาต" หรือ วันที่มีการประชุมพร้อมด้วยองค์ 4 ดังกล่าวแล้ว

ทุกสิ่งเป็นไปได้ด้วยฤทธิ์อภิญญาญาณ! ความอัศจรรย์4ประการในวันมาฆบูชา ไขปริศนาพระสงฆ์ชุมนุมกัน 1,250 รูป ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

ด้วยเหตุการณ์ประจวบกับ 4 อย่าง จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า จาตุรงคสันนิบาต (มาจากศัพท์บาลี จาตุร+องฺค+สนฺนิปาต แปลว่า การประชุมอันประกอบด้วยองค์ประกอบทั้งสี่ประการ) หลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว 9 เดือน (45 ปี ก่อนพุทธศักราช)

มีผู้เข้าใจผิดว่าเหตุที่พระสาวกทั้ง 1,250 รูป มาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมายนั้น เพราะวันเพ็ญเดือน 3 ตามคติพราหมณ์เป็นวันพิธีมหาศิวาราตรีเพื่อบูชาพระศิวะ พระสาวกเหล่านั้นซึ่งเคยนับถือศาสนาพราหมณ์มาก่อนจึงได้เปลี่ยนจากการรวมตัวกันทำพิธีชำระบาปตามพิธีพราหมณ์ มารวมกันเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าแทน

 แต่ความคิดนี้ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง เพราะพระศิวะเป็นเทพที่ชาวฮินดูเริ่มบูชากันในยุคหลังพุทธกาล คือตั้งแต่ พ.ศ. 800 เป็นต้นมา

                ทั้งนี้ ต้องไม่ลืมว่า ในพระไตรปิฎกเอง พระพุทธเจ้าก็ได้แสดงฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เป็นที่ประจักษ์เพื่อปราบทิฐิมานะในกาลอันเหมาะสมอยู่หลายคราว และยังมีข้อยืนยันอีกมากมายที่ระบุว่า พระองค์ทรงเป็น สัพพัญญูผู้มีพุทธานุภาพครบทุกด้าน

ทุกสิ่งเป็นไปได้ด้วยฤทธิ์อภิญญาญาณ! ความอัศจรรย์4ประการในวันมาฆบูชา ไขปริศนาพระสงฆ์ชุมนุมกัน 1,250 รูป ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

                ส่วนพระสงฆ์สาวกที่มาประชุมกัน 1,250 นั้น ต่างก็เป็นพระอรหันต์ที่พระพุทธเจ้าบวชให้ทั้งสิ้น อีกทั้งยังเป็นผู้มีอภิญญาญาณ  นั่นคือ มีความรู้พิเศษที่เกิดจากการเจริญจิตตภาวนา มี ๖ อย่างด้วยกัน ได้แก่

 

๑.อิทธิวิธี แสดงฤทธิ์ได้ เช่น คนเดียวเนรมิตเป็นหลายคน เดินทะลุกำแพงได้ ฯลฯ

 

๒.ทิพพโสต คือฟังเสียงที่ไกลออกไปก็ได้ ได้ยินเสียงทิพย์อีกมิติหนึ่งก็ได้

 

๓.เจโตปริยญาณ รู้ใจผู้อื่น อ่านใจผู้อื่นออกว่าเขาคิดอะไร เขาต้องการอะไร

 

๔.ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ การระลึกชาติได้

 

๕.ทิพพจักขุ คือตาทิพย์ สามารถแลเห็นหมู่สัตว์ที่เป็นไปต่างๆ กันเพราะอำนาจแห่งกรรม

 

๖.อาสวักขยญาณ รู้จักทำกิเลสให้สิ้น

ทุกสิ่งเป็นไปได้ด้วยฤทธิ์อภิญญาญาณ! ความอัศจรรย์4ประการในวันมาฆบูชา ไขปริศนาพระสงฆ์ชุมนุมกัน 1,250 รูป ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

               

ดังนั้น การเรียกพระสงฆ์ที่กระจัดกระจ่ายอยู่บนดินแดนอันกว้างไกล ในยุคที่ไม่มีโทรศัพท์ และโซเชียลมีเดีย เพื่อให้มาชุมนุมกันฟังเทศนาธรรมครั้งสำคัญ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอันใดหากพระองค์และเหล่าสาวก จะใช้อภิญญาญาณในการสื่อสาร เพราะถือเป็นคุณวิเศษที่มีอยู่แล้วในตัวของพระองค์และเหล่าสาวกทั้งหลาย เพื่อวันสำคัญ และธรรมะอันสำคัญดังกล่าว จะได้เผยแพร่ไปตั้งแต่บัดนั้น ...

สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงประสงค์ ก็เพื่อให้พระสาวกทั้งหลาย ทั้งปัจจุบันและอนาคต ได้มีหลักอุดมการณ์ หลักการ และวิธีการในการปฏิบัติและเผยแผ่ธรรมในทางพระพุทธศาสนา เป็นมาตรฐานอันเดียวกันขึ้นไว้ ประดุจเป็นหัวใจพระพุทธศาสนานั้นเอง

ข้อมูลอ้างอิง : วิกิพีเดีย

ข่าว : ไญยิกา เมืองจำนงค์  (ทีมข่าวปัญญาญาณ ทีนิวส์)