เพลงผีบอก! ครูสง่าเผย “น้ำตาแสงใต้” แต่งเพลงจบเพราะมีผีมาเล่นดนตรีให้ฟัง ที่มาขนหัวลุกของบทเพลงอมตะหวานปนเศร้า!

ติดตามเรื่องราวดีๆ ได้ที่ http://panyayan.tnews.co.th/

ตำนานของพันท้ายนรสิงห์ เป็นตำนานอิงประวัติศาสตร์ ที่ถูกนำมาทำทั้งเป็นละครและภาพยนตร์มาหลายต่อหลายครั้ง และเมื่อมีการแสดงละครดังกล่าว สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ บทเพลง “น้ำตาแสงใต้” เรียกว่าเป็นของคู่กันที่ไม่อาจขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปได้เลย บทเพลงอมตะ “น้ำตาแสงใต้” แต่งทำนองโดย ครูสง่า อารัมภี ส่วนคำร้องโดย มารุต/เนรมิต ซึ่งทำนองเพลงดังกล่าว มีที่มาจากเพลงผีบอก โดยครูสง่า ได้เล่าเรื่องไว้ดังนี้  

 

ข้าพเจ้าจำได้แม่นยำว่า วันนั้นในราวเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๘ ศิวารมณ์กำลังซ้อมละครเรื่อง “พันท้ายนรสิงห์ ” อยู่ที่ห้องเล็ก ศาลาเฉลิมกรุงดูเหมือนจะเข้าโปรแกรมวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ซ้อมกันอย่างหนัก เพราะเป็นสมัยที่เริ่มงานใหม่ๆ

 

ตอนนั้นข้าพเจ้ามีหน้าที่ดีดเปียโนให้นาฏศิลป์เขาซ้อมและต่อเพลงให้นักร้องเท่านั้น ผู้ที่แต่งเพลงให้ศิวารมณ์สมัยนั้นคือ  ประกิจ  วาทยกร และ โพธิ์  ชูประดิษฐ์ ข้าพเจ้าเป็นนักดนตรีใหม่ๆ ยังไม่ถึงปี  สุรสิทธิ์ , จอก , สมพงษ์ และทุกๆ คน มาซ้อมละครกันตั้งแต่เย็นส่วน เนรมิต , มารุต สมัยโน้นเข้าคู่กันคร่ำเครียดกับบทและวางคาแร็คเตอร์ตัวละคร นาฏศิลป์ซ้อมกัน  เต้นกัน นักร้องก็ร้องเพลงกัน

เพลงผีบอก! ครูสง่าเผย “น้ำตาแสงใต้” แต่งเพลงจบเพราะมีผีมาเล่นดนตรีให้ฟัง ที่มาขนหัวลุกของบทเพลงอมตะหวานปนเศร้า!

เหลือเวลา ๕ วันละครจะเริ่มแสดงแล้ว เพลงเอกของเรื่องคือ  “น้ำตาแสงไต้” ทำนองยังไม่เสร็จ คุณประกิจและคุณโพธิ์แต่งส่งมาคนละเพลงสองเพลงยังไม่เป็นที่ไม่พอใจแก่ เจ้าของเรื่องและผู้กำกับ  ทั้งเจ้าของเรื่องและผู้กำกับต้องการให้เพลง มีสำเนียงเป็นไทยแท้ มีรสและวิญญาณไปในทาง “หวานเย็นและเศร้า”

 

เพลงผีบอก! ครูสง่าเผย “น้ำตาแสงใต้” แต่งเพลงจบเพราะมีผีมาเล่นดนตรีให้ฟัง ที่มาขนหัวลุกของบทเพลงอมตะหวานปนเศร้า!

เย็นนั้นเมื่อเลิกซ้อมแล้ว ข้าพเจ้าพลอยอึดอัดไปกับเขาด้วย ข้าพเจ้าลงมายืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่หน้าเฉลิมกรุง ไม่รู้จะไปไหนดี ได้ยินเสียงเรียก  “หง่า  หง่า”

 

คุณทองอิน บุณยเสนา ถามว่า “ราบรื่นเรียบร้อยหรือไฉน”

 

ข้าพเจ้าอ่ยถึงเพลง “น้ำตาแสงไต้” ที่ยังแต่งกันไม่เสร็จ พี่อินฟังแล้วพูดว่า “เพลงไทยนั้นมีเยอะ แต่ไอ้รสหวานเย็นและเศร้าที่หง่าว่ามันมีน้อย อั๊วชอบมาก และรู้สึกว่าหวานเย็นเศร้ามีแต่ เขมรไทรโยคและลาวครวญเท่านั้น”

คุยกันสักพักข้าพเจ้ารู้สึกง่วงนอนปุ๊บหลับปั๊บจะหลับไปนานเท่าไรไม่รู้...

 

           ... ข้าพเจ้ารู้สึกแปลกใจมาก  ที่ใครมาเล่นเปียโนที่ห้องเล็กก่อนข้าพเจ้า ปกติ ๘.๐๐ น. กว่าๆ  ข้าพเจ้าเห็นคนอยู่ ๔คน ชาย ๓ หญิง ๑ แต่งกายแปลกมาก ชายแต่งกายเหมือนนักรบโบราณ เขาถอดหมวกวางไว้บนเปียโน คนเล่นผิวค่อนข้างขาว หน้าคมคาย  อีกคนหนึ่งผิวคล้ำนั่งอยู่ทางขวาของเปียโน คนที่ ๓ อายุมากกว่าสองคนแรก ผมหงอกประปราย ท่าทางเป็นผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ หน้าตาอิ่มเอิบ ส่วนผู้หญิงนั้นสวยเหลือเกิน นุ่งผ้าจีบพกแต่งกายโบราณนุ่งผ้าจีบพก ห่มผ้าแถบสีแดงสด ผิวนวลปล่อยผมปรกบ่า

 

กำลังยืนเอามือเท้าเปียโนอยู่ด้านซ้าย

              ข้าพเจ้าเปิดประตูเข้าไป  เขาไม่สนใจข้าพเจ้าเลยจนข้าพเจ้าเดินเข้าไปใกล้จะเข้าพูดก็ไม่รู้จักเขาแต่งตัวแปลก เลยนั่งมองดูเขาและฟังเพลงที่ดีดนั้นคนเล่นเปียโนเก่งมาก เขาเล่นจากความรู้สึกจริงๆ ตาเขาลอยคล้ายฝันมองไปตรงหน้า บางทีทองหน้าผู้หญิงเธอยิ้มรับน่ารักเหลือเกิน ข้าพเจ้าฟังเพลินมองเพลินสักครู่ก็สะดุ้งเพราะเสียงห้าวต่ำอย่างมีอำนาจของผู้สูงอายุพูดขึ้นว่า

“ไหน…เทพ … เธอลองเล่น เขมรไทรโยคซิ”

 

คนที่เล่นเปียโนผงกศีรษะรับ พร้อมกับเปลี่ยนเพลงมาเป็นเขมรไทรโยค เขาเล่นด้วยความรู้สึก เสียงประสานประหลาด

 

แต่ทว่านุ่มนวลฟังแล้วทำให้คิดและมองเห็นภาพไปด้วยความรู้สึกหวานชื่น เพลินฟังจนเพลงจบเมื่อไรไม่รู้ เพลงที่เล่นนั้นเพราะเหลือเกินพลันเสียงผู้สูงอายุพูดขึ้นว่า

 

 “ธิดาจ๋า เธอจะไม่ลองฝีมือดูรึ” สาวสวยคนนั้นเดินไปนั่งที่เปียโนบรรเลง

 

เพลงเป็นเพลงหวานเศร้าสำเนียงลาว “ลาวครวญ” อันหวานเศร้า ฝีมือของเธออยู่ในขั้นเลิศ ข้าพเจ้านั่งน้ำตาคลอคิดไปถึงความหลัง คิดเพลินจนเพลงจบไม่รู้ตัว…

 

เสียงห้าวต่ำๆ ดังขึ้นอีกว่า  “อมร…ถ้าเราเอา วิญญาณ ของเพลงสองเพลงนี้ มารวมกันเข้า คงจะเพราะอย่างหาที่ติไม่ได้เชียวนะ”

ข้าพเจ้าเห็นคนผิวคล้ำที่นั่งข้างขวาของเปียโนก้มศีรษะรับพร้อมกับพูดว่า 

 

“กระผมเห็นด้วยคงจะไพเราะอย่างยิ่ง” หญิงสาวลุกขึ้นจากเปียโน

 

พลางหันหน้าไปพูดกัยคนผิวคล้ำว่า “ขอเชิญคุณครูค่ะ ขอเชิญคุณครูสวม วิญญาณของเพลงทั้งสอง ให้ศิษย์ได้ฟังเพื่อเป็นขวัญโสตและขวัญชีวิตของศิษย์ทั้งสอง”

 

ท่านที่รักเสียงที่ลอยมาจากเปียโนนั้นสำเนียงไทยแท้มี “รสหวานเย็นเศร้า”

ครูอมรได้รวมวิญญาณของ เขมรไทรโยค และ ลาวครวญ ได้สนิทแนบ สำเนียงและ วิญญาณถอดออกมาจากเพลงสองเพลงนี้อย่างครบถ้วนโดยที่เพลงเดิมไม่ได้เสียหายอะไรแม้แต่น้อย ดุจสองวิญญาณเก่าเคล้ากัน จนเกิดวิญญาณใหม่ที่สวยงามขึ้นอีกวิญญาณหนึ่ง

…ข้าพเจ้าฟังเพลินจนสะดุ้งเมื่อมีหนักๆ มาเขย่าจนรู้สึกตัวตื่นจากภวังค์ บ่ายๆ สามโมงวันนั้น เมื่อนาฏศิลป์

และละครกลับกัน บนห้องเล็กเหลือข้าพเจ้า , เนรมิต, มารุต, สุรสิทธิ์

เนรมิตและมารุตบ่นถึงเพลง “น้ำตาแสงไต้” ว่าทำนองที่คุณโพธิ์และคุณประกิจส่งมายังใช้ไม่ได้ เหลือเวลาอีก ๓ วัน

ละครจะแสดงแล้วเดี๋ยวไม่ทัน ข้าพเจ้านั่งฟังสักครู่หันมาเล่นเปียโน ... ท่านที่รัก ความรู้สึกบอกไม่ถูกนิ้วมือข้าพเจ้าบรรเลงไปตามอารมณ์

 

ข้าพเจ้าก็ไม่รู้ว่าเป็นเพลงอะไร เคลิ้มๆ ยังไงพิกล

เนรมิตถามว่า “หง่า นั่นเพลงอะไร”

 

ข้าพเจ้าสะดุ้งพร้อมกับนึกขึ้นได้ และจำทำนองได้ทันทีว่าเป็นเพลงที่ครูอมรดีด ข้าพเจ้าหันไปถามเนรมิตว่า “เพราะหรือฮะ”

 

เนรมิตพยักหน้าบอกให้เล่นใหม่ ข้าพเจ้าบรรเลงอีกหนึ่งเที่ยว

 

ทั้งเนรมิตและมารุตพูดขึ้นว่า  “นี่แหละ น้ำตาแสงไต้”  

 

ข้าพเจ้าดีใจรีบจดโน๊ต และประพันธ์คำร้องกันเดี๋ยวนั้น

 

            มารุตขึ้น “นวลเจ้าพี่เอย... ”

 

            เนรมิตต่อ “คำน้องเอ่ยล้ำคร่ำครวญ “

 

            แล้วช่วยกันต่อ “ถ้อยคำเหมือนจะชวน ใจพี่หวนครวญคร่ำอาลัย ”

 

พอจบประโยคแรก สุรสิทธิ์ร้องเกลาทันที ร่วมกันสร้างจบคำร้องในราว ๑๐ นาทีเท่านั้นเอง สุดท้ายเพลงก็ทันละครแสดง  เมื่อทำนองเพลง

 

“น้ำตาแสงไต้” พลิ้วขึ้นคนร้องไห้กันทั้งโรง แม้ พันท้ายนรสิงห์ จะสร้างเป็นภาพยนตร์ยังใช้เพลง  “น้ำตาแสงไต้” เป็นเพลงเอกอยู่

 

 

จาก : เพลงผีบอก ที่มาของเพลง ”น้ำตาแสงไต้”

เพลงผีบอก! ครูสง่าเผย “น้ำตาแสงใต้” แต่งเพลงจบเพราะมีผีมาเล่นดนตรีให้ฟัง ที่มาขนหัวลุกของบทเพลงอมตะหวานปนเศร้า!

คัดลอกมาจากหนังสือ เพลงผีบอก รวมเรื่องผีและที่มาของเพลงน้ำตาแสงไต้ โดย ศิลปินแห่งชาติ

 

สาขาศิลปะการแสดงปี ๒๕๓๑  สง่า อารัมภีร

(น้ำตาแสงใต้ ขับร้องโดย เบน ชลาทิศ)

 

เสนอข่าวโดย : ไญยิกา เมืองจำนงค์ (ทีมข่าวปัญญาญาณ ทีนิวส์)