"เป็นพระ แต่มีมิจฉาทิฐิ เอาเปรียบชาวบ้าน ทำตัวไม่เป็นพระที่ดีมีวินัย ก็ไม่พ้นอเวจี"- หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ยืนยัน!

ติดตามเรื่องราวดีๆ อีกมากมายได้ที่ http://www.tnews.co.th

               เรื่องนี้นำมาจากหนังสือ “ตายแล้วไม่สูญ..แล้วไปไหน”  อีกเช่นเดียวกันซึ่งเป็นอีกเรื่องราวหนึ่งที่ท่านพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีลิงดำได้เล่าถ่ายทอดเอาไว้ถึง กรรมของพระภิกษุรูปหนึ่งทำให้ต้องตกนรกเมื่อท่านมรณภาพตอนที่อายุ 72 ปี มีตำแหน่งเป็นถึงเจ้าคณะอำเภอแล้ว

              หลวงพ่อฤๅษีลิงดำท่านปรารภว่า วันหนึ่งใกล้เวลาสองทุ่มซึ่งเป็นเวลาเจริญพระกรรมฐาน ท่านก็ได้นอนหลับพักผ่อนเป็นปกติ เมื่อจะหลับไปก็เห็นเทวดาองค์หนึ่งมายืนอยู่ข้างหน้า พอเหลียวไปดูท่านก็นั่งคุกเข่ายกมือขึ้นพนม จึงได้ถามขึ้นว่า

“ท่านมาทำไม” เทวดาตนนั้นก็บอกว่า....

“ท่านใหญ่ให้มานิมนต์ครับ” (*คำว่า “ท่านใหญ่” นั้นก็หมายความถึงท่านพระยายมราช)

พอหลวงพ่อไปถึง ก็ถามท่านพระยายมราชว่า “ท่านลุงมีธุระอะไร” ท่านตอบว่า

“ไม่มีธุระอะไรมากหรอก เพื่อนท่านเขามาอีกหนึ่งแล้ว” ซึ่งก็เป็นที่รู้กันว่าถ้าพระมาลงนรกสักรูปหนึ่ง ก็มีอันต้องให้มีคนมาตามมาดู ซึ่งพระยายมราชก็บอกว่า

 “ไปเยี่ยมเขาหน่อยซิ”

เมื่อสอบถามแล้วก็ทราบว่าพระรูปที่ตายลงมาอยู่ในนรกขุมที่ 7 เรียกว่า *“มหาตาปะนรก” มีอายุครึ่งกัป

พอท่านไปถึงก็เห็นเขากำลังลงโทษพระรูปนั้นอยู่ ซึ่งท่านเองก็ทราบดีว่า การจะไปบอกให้นายนริยบาลหยุดการลงโทษเพื่อขอพูดคุยกับนักโทษนั้นโดยลำพังเพียงคนเดียวเขาจะไม่ยอมจะต้องนำคนจากสำนักของพระยายมราชไปด้วยจึงจะสามารถทำได้

และโชคดีที่วันนั้นท่านพระยายมราชไปด้วยตัวของท่านเองก็ได้รับความสะดวก เมื่อไปถึง ท่านก็บอกว่า

“เอาคนนั้นขึ้นมา” พอท่านเพียงบอกว่าเอาคนนั้นขึ้นมา นักโทษคนนั้นก็หลุดจากเครื่องพันธนาการ เขาก็ขึ้นมาจากขุมนรก พอขึ้นมาแล้วก็แต่งตัวเป็นพระสงฆ์ ซึ่งเป็นพระสงฆ์ที่มีรูปร่างหน้าตาดีมาก หากพิจารณาดูแล้วช่วงสมัยหนุ่มๆ คงรูปหล่อเหลาเอาการทีเดียว ขึ้นมาแล้วหลวงพ่อก็ถามว่า

 “ท่านบวชตอนอายุเท่าไร และตายอายุเท่าไร”

“กระผมบวชเมื่ออายุ 20 ปีเศษ และตายเมื่ออายุ 72 ย่าง 73 ครับ

“ท่านบวชได้ตั้ง 52 พรรษาแล้วมีตำแหน่งอะไร”

ผมเป็นเจ้าอาวาส เป็นเจ้าคณะตำบล เป็นเจ้าคณะอำเภอ และก็เป็นพระอุปัชฌาย์”

              หลวงพ่อก็ระลึกได้ว่าเวลานั้นท่านเพิ่งจะบวชได้สองพรรษา ส่วนพระรูปนี้บวชได้ถึง 52 พรรษาแล้วเรียกได้ว่าบวชได้เท่าเศษพรรษาของเขาพอดี หลวงพ่อจึงถามว่า “ทำไมท่านถึงตกนรก”

 พระรูปนี้ตอบว่า

 “ตอนบวชนั้นผมเป็นสมมุติสงฆ์จริงๆ อยู่สองพรรษา ยังมีความประพฤติบกพร่องบ้างอยู่สองพรรษา นอกนั้นอีกห้าสิบปีคือมีพฤติกรรมหมดจากความเป็นพระ แต่ก็ยังครองผ้าเหลืองอยู่ กรรมมันก็เลยหนัก

          การครองผ้าเหลืองอยู่แล้วทำตนเป็นดังเช่นฆราวาสนั้นถือเป็นกรรมหนักมากจัดเป็นการหลอกลวงผู้อื่นและเป็นการทำลายพระพุทธศาสนาอย่างชัดเจนเรียกได้ว่าเข้าขั้นอนันตริยกรรมเลยทีเดียวซึ่งตามปกติแล้วจะต้องลงนรกอเวจี

หลวงพ่อถามต่อไปว่า

 “หมดความเป็นพระประเภทนี้มันน่าจะลงอเวจี แต่ทำไมจึงไม่ลง” พระรูปนี้ตอบว่า

“ผมมารู้สึกตัวตอนใกล้ๆ จะตายสักสองปี ก็พยายามทำความดีทุกอย่างแต่มันชดใช้กรรมที่เคยทำเอาไว้ไม่ได้”

              หลวงพ่อระลึกได้ว่า ถือว่ายังดีที่ไม่ได้ลงนรกอเวจี แต่ลงแค่ขุมที่ 7 เท่านั้น แต่ว่าก็ต้องใช้เวลาอีกนานชนิดที่ เกิดแล้วตายอีกร้อยครั้ง พระองค์นี้ก็ยังไม่ขึ้นมาเลยเพราะขุมนี้มีอายุครึ่งกัป ถ้ามีโทษอะไรอีกก็จะต้องมาไล่เบี้ยขุมใหญ่อีกคือ เมื่อออกจากขุมที่ 7 แล้วก็จะต้องผ่านนรกบริวารอีก 4 ขุม แต่ละขุมมีอายุไม่แน่นอน เขาจะกักไว้กี่ร้อยกัปก็ได้ นอกจากนรกบริวาร 4 ขุมแล้วถ้ามีโทษอย่างอื่นอีก ก็จะต้องไปตกนรกขุมใหญ่อีก ออกจากขุมนั้นก็ต้องตกนรกบริวารอีก 4 ขุม เป็นอย่างนี้เรื่อยไป พอพ้นจากเขตนรกนั้นแล้วแล้วยังต้องไปตกยมโลกียนรกอีก 10 ขุม และยมโลกียนรกก็ไม่มีอายุเหมือนกัน ไม่บอกเวลาแน่นอน การตกนรกขุมนี้เขาจะไล่เบี้ยตั้งแต่กรรม ปาณาติบาตไปเรื่อยจนครบทั้ง 5 ข้อ

นอกจากนั้นถ้ายังมีคดโกง เช่น การคดโกงจากการเรี่ยไรเงินมาแล้วเอามาเป็นทรัพย์สมบัติของตัวเอง อย่างนี้เขาจะลงโทษไว้หมดเลย ซึ่งไม่รู้ว่าใช้เวลาทั้งหมดกี่ร้อยกัป หลังจากนั้นจะต้องมาเป็นเปรตอีก 12 ระดับ กว่าจะพ้นแต่ละระดับก็แสนจะยาก จากเปรตก็มาเป็นอสุรกาย จากอสุรกายก็ต้องมาเป็นสัตว์เดรัจฉาน จากสัตว์เดรัจฉานกว่าจะไปเกิดเป็นคนหรือเทวดาได้ด้วยบุญเดิม ก็จะต้องเป็นสัตว์ที่รู้ภาษามาก ต้องมีคนเมตตาอุทิศบุญให้

หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ท่านได้ให้ข้อคิดกับการเข้ามาบวชพระในพระพุทธศาสนาว่า

“ในเมื่อเราตั้งใจบวชเข้ามาเพื่อปฏิบัติความดีก็ต้องคิดว่า พระอรหันต์ทุกองค์ท่านไม่ได้เป็นพระอรหันต์มาตั้งแต่กำเนิด ท่านก็ประพฤติปฏิบัติเริ่มต้นแบบเดียวกับพวกเรานี่แหละ ทำไปแก้ข้อบกพร่องไปเรื่อยๆ มีความพากเพียรเป็นปกติ มีอิทธิบาท ๔ ครบถ้วน จะทำสิ่งใดมันก็ต้องสำเร็จจนได้และสำเร็จทุกอย่าง”

“มหาตาปะนรกที่ว่าเป็นอย่างไร”

              มหาตาปนะนรก เป็นนรกใหญ่ที่ 7 ชื่อมหาตาปนนรกนั้น เพราะว่าในนรกนี้มีความร้อน ทวียิ่งขึ้นไปกว่าความร้อนในนรกขุมที่ 6 คือตาปนนรก และมหาตาปนนรกนี้ มีลักษณะเป็นสัณฐานเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส โดยกว้างยาวและลึกนั้นได้ประมาณ 100 โยชน์ มีฝาผนังทั้ง 4 ด้านโดยเป็นเหล็กหนา 9 โยชน์ มีประตู 4 ประตูด้านละประตู ในภายในมหาตาปนนรกนั้น จะมีภูเขาเหล็กใหญ่สูงเงื้อมน่ากลัวยิ่งนัก โดยนายนิรยบาลทั้งหลาย มีมือถือเครื่องศาสตราวุธต่างๆ ไล่ทิ่ม แทง สับ ฟัน ทุบตี ต้อนสัตว์นรกทั้งหลาย ให้ขึ้นไปบนภูเขานั้น สัตว์นรกเหล่านั้นแม้กลัวอำนาจนายนิรยบาลก็อุตส่าห์ปีนป่ายตะเกียกตะกายขึ้นไป แต่พอขึ้นไปถึงยอดภูเขาแล้ว จะมีลมนรกเกิดขึ้น เป็นพายุใหญ่พัดมาโดยรอบ ลมนรกนั้นจะพัดอย่างแรงกล้ายิ่งนักเกินกว่ากำลังที่สัตว์นรกเหล่านั้น จะทรงกายอยู่บนภูเขานั้นได้ สัตว์นรกเหล่านั้นจะพลัดตกลงมาจากยอดภูเขานั้น แต่พอตกลงมายังไม่ทันถึงแผ่นดินเหล็ก หลาวเหล็กใหญ่ประมาณเท่าลำตาล ก็ผุดขึ้นคอยรองรับอยู่ เสียบกายสัตว์นรกเหล่านั้น ตั้งแต่ศีรษะตราบเท่าตลอดออกทางทวารหนัก สัตว์นรกบางตัวนั้นหลาวเหล็กจะร้อยอยู่ 2 เล่มบ้าง 3 เล่มบ้าง 4 เล่มบ้าง 5 เล่มบ้าง หลาวเหล็กแต่ละเล่มๆ นั้น ลุกเป็นเปลวเพลิงอยู่เสมอๆ เผาเนื้อและเลือดเผากายภายในออกมา เพลิงที่แผ่นดินเหล็กนั้น ก็ลุกไหม้จากกายภายนอกเข้าไป ไฟจากภายในกายกับไฟนอกกายนั้น ก็ไหม้กระทบปะทะกัน  เมื่อไฟไหม้กายสัตว์นรกเหล่านี้ย่อยเป็นผงธุลีไปแล้ว ก็กลับไปเกิดเป็นร่างกายมีเนื้อ และเลือดดังเดิม นายนิรยบาลทั้งหลายก็ทำโทษเช่นเดิมได้ความทุกข์ทรมาน ดังที่กล่าวมาแล้วนั้นสิ้นกาลช้านาน ประมาณได้กึ่งอันตรากัปหนึ่ง คือนับตั้งแต่มนุษย์ทั้งหลายมีอายุได้ 10 ปีเป็นอายุขัย แล้วมีอายุมากขึ้นไปถึงหนึ่งอสงไขย แล้วก็นับเวลาอายุขัยให้ถอยน้อยลงมาๆ จนอายุได้ 10 ปี เป็นอายุขัยอีก ดังนี้แหละชื่อว่า หนึ่งอันตรากัปหนึ่ง ซึ่งพระภิกษุรูปที่ท่านหลวงพ่อฤๅษีลิงดำได้พบนั้นต้องถูกลงโทษถึงครึ่งกัป ก็นับว่าเป็นเวลาที่แสนยาวนานมาก

เพราะได้ทำกรรมหนักไว้เมื่อเป็นพระ แต่มีมิจฉาทิฐิ เอาเปรียบชาวบ้านและไม่ประพฤติตนให้เหมาะสมกับความเป็นพระจึงต้องรับกรรมเช่นนี้

 

 

จินต์จุฑา สำนักข่าวทีนิวส์ เรียบเรียง

จากหนังสือ “ตายแล้วไม่สูญ..แล้วไปไหน”  โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)