ไม่ยุติไม่เลิกชุมนุม!?!? "เครือข่ายปกป้องอันดามัน" แสดงพลังหน้าทำเนียบ ...เปิดชัดข้อเสนอเลิกโรงไฟฟ้าถ่านหิน (รายละเอียด)

เป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่ต้องติดตามความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง สำหรับกลุ่มต้านโรงไฟฟ้าถ่ายหิน เทพา และจ.กระบี่ ที่เตรียมนัดหมายจะเข้ามาชุมนุมกดดันรัฐบาลเพื่อยุติการเดินหน้าโรงไฟฟ้า ในวันพรุ่งนี้ โดยขีดเส้นตายถ้าไม่ยุติไม่เลิกชุมนุม
หลังจาก นายประสิทธิชัย หนูนวล ผู้ประสานงานเครือข่ายปกป้องอันดามันจากถ่านหิน มีการนัดเดินขบวนเคลื่อนไหวแสดงพลังคัดค้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้ากระบี่ ในวันที่ 17 ก.พ.นี้ พร้อมกันที่ทำเนียบรัฐบาล หากไม่สามารถมาได้ก็ไปชุมนุมที่ศาลากลางจังหวัด เพื่อการยุติโรงไฟฟ้าถ่านหินจนสำเร็จ ห้าไม่ยุติไม่เลิก ตามที่เราได้รายงานไปแล้วนั้น

ซึ่งในเวลาต่อมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก็ได้กล่าวถึงประเด็นดังกล่าวว่า ไม่อยากให้มีการเคลื่อนไหวเข้ามาในกรุงเทพฯ เพราะจะผิดกฎหมายและถูกดำเนินคดี เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่าห้ามการเคลื่อนไหวในลักษณะนี้ ดังนั้น หากมีอะไรขอให้พูดคุยกันให้รู้เรื่องในพื้นที่ และที่ผ่านมาในพื้นที่มีความต้องการ จึงสั่งการให้กระทรวงพลังงานประชุมในวันที่ 17 ก.พ. นี้ เพื่อตัดสินใจว่าจะดำเนินการต่อหรือไม่ ถ้าหากไม่ทำแล้วจะทำอย่างไรต่อไป พร้อมยืนยันว่าวันที่ 17 ก.พ. นี้จะได้คำตอบ จึงไม่อยากให้เคลื่อนไหวในเวลานี้ เพราะมีคำสั่ง คสช. และกฎหมายอยู่แล้ว

พร้อมทั้งกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ที่ผ่านมาการทำโรงไฟฟ้าถ่านหินแต่เดิมนั้น ทำตามแผน ทีพีพีเดิม ที่ตั้งไว้อยู่แล้ว รัฐบาลนี้แค่มาปรับแผนให้ดีขึ้นในเรื่องของการใช้พลังงานทดแทน จากสัดส่วน 70 ต่อ 30 เป็น 60 ต่อ 40 แต่ 60 เดิมที่ใช้พลังงานจากฟอสซิล ที่ต้องคิดว่าควรจะมีในระดับไหน ไม่ใช่ลดลงทันที แล้วไปสร้างพลังงานทดแทน แต่ต้องคำนึงว่าทดแทนกันได้มากน้อยแค่ไหน จึงต้องช่วยกันแก้ปัญหาต่อไป

 

 

 

 

 

 

นับว่าเป็นช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานกันอยู่ ว่าท่าทีรัฐบาลจะเตรียมรับมือกลุ่มประชาชนอย่างไร หลังจากที่เมื่อวันที่ 15 ก.พ.ที่ผ่านมาก็ได้มีเอกสารราชการตราครุฑ ลงนามโดยปลัดอำเภอทำหน้าที่แทนนายอำเภอคลองท่อม ออกหนังสือแจ้งให้กำนันผู้ใหญ่บ้าน นำมวลชนไปสนับสนุนโครงการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน โดยอ้างอิงคำสั่งจากนายกรัฐมนตรี จนสร้างความเข้าใจผิด ทำให้มวลชนในพื้นที่รู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก
ซึ่งล่าสุดนายพินิจ บุญเลิศ ผวจ.กระบี่ ได้ทำหนังสือด่วนที่สุดชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีที่อำเภอคลองท่อม สั่งการให้กำนันผู้ใหญ่บ้านนำมวลชนหมู่บ้านละ 20 คนมาสนับสนุนการก่อสร้างโรงไฟฟ้าในพื้นที่จังหวัดกระบี่ในวันที่ 16 ก.พ.ที่ศาลากลางจังหวัดกระบี่นั้น ทางจังหวัดได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว
ปรากฏว่าอำเภอคลองท่อมได้รับหนังสือแจ้งให้อำเภอดำเนินการให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชนเกี่ยวกับการก่อสร้างโรงไฟฟ้าในพื้นที่ภาคใต้ เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนพลังงานไฟฟ้าที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน หากพื้นที่ใดประชาชนส่วนใหญ่มีความเข้าใจและยอมรับให้มีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าแล้ว ให้กระทรวงพลังงานเริ่มดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป

เมื่อนายเศวตฉัตร สุวรรณรัตน์ ปลัดอำเภอคลองท่อมได้รับหนังสือดังกล่าว เกิดการเข้าใจผิดในข้อเท็จจริงว่าหากให้ประชาชนสนับสนุนการสร้างโรงไฟฟ้าดังกล่าวจะเกิดผลดีต่อประชาชนและประเทศชาติโดยรวม จึงได้แจ้งกำนันผู้ใหญ่บ้านเชิญชวนประชาชนที่เห็นด้วยไปสนับสนุนดังกล่าว ทางจังหวัดกระบี่ขอกราบประทานโทษในความผิดพลาดครั้งนี้และได้กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก ทั้งนี้จังหวัดกระบี่ได้แจ้งอำเภอคลองท่อมว่ากล่าวตักเตือนปลัดอำเภอคลองท่อม และได้มีคำสั่งให้มาช่วยราชการที่ทำการปกครองจังหวัดกระบี่แล้ว

 

 

 

 

 

ล่าสุด เมื่อเวลา 10.00 น. วันนี้ 17 ก.พ. 2560 เครือข่ายปกป้องอันดามันจากถ่านหิน นัดรวมตัวกันและเดินทางมาที่หน้าทำเนียบฯ เพื่อคัดค้านโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินใน จ.กระบี่
โดย พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ รมว.พลังงาน เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ในวันนี้ (17 ก.พ.60) จะมีการพิจารณาเกี่ยวกับโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ว่าจะให้ก่อสร้างหรือไม่ เนื่องจากการตัดสินใจล่าช้ามากว่า 2 ปีแล้ว

ดังนั้น จึงควรได้ข้อยุติโดยเร็ว เพื่อสร้างความมั่นคงไฟฟ้าภาคใต้ ซึ่งกระทรวงพลังงานยังยืนยันที่จะเสนอ กพช.ให้เดินหน้าโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ต่อไป โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จะต้องสร้างให้ได้ตามมาตรฐานสากล และใช้เทคโนโลยีโรงไฟฟ้าใหม่ล่าสุด
 
ทั้งนี้หาก กพช.อนุมัติให้สร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่จริง คาดต้องใช้เวลาก่อสร้าง 4-5 ปี และผลิตไฟฟ้าเข้าระบบในปี 2564-2565 แต่หาก กพช.ไม่อนุมัติให้สร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ ทาง กฟผ.อาจต้องใช้ปรับแผนใหม่ โดยอาศัยไฟฟ้าจากภาคกลางมายังภาคใต้มากขึ้น ซึ่งในแง่การสร้างสายส่งยังคงต้องใช้เวลาและเงินลงทุนจำนวนมาก

รวมถึงในช่วงวันนี้จะไม่มีการนำโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน (โซลาร์ฟาร์ม) สำหรับราชการและสหกรณ์การเกษตร เฟส 2 รวมปริมาณรับซื้อ 519 เมกะวัตต์ เข้าสู่การพิจารณา เนื่องจากที่ผ่านมา กพช.ได้อนุมัติหลักการไปแล้ว และกระทรวงพลังงานแค่ปรับรูปแบบให้เหมาะสมขึ้นเท่านั้นจึงไม่ต้องเสนอ กพช.อีก

พร้อมทั้งบอกอีกว่า ในวันที่ 21 ก.พ.นี้ กระทรวงพลังงานจะหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหาข้อสรุปในรายละเอียดการดำเนินโครงการในส่วนของโควตาส่วนราชการ 400 เมกะวัตต์อีกครั้ง หลังจากที่ผ่านมากลุ่มราชการติดปัญหา พ.ร.บ.ร่วมทุน โดยทางกฤษฎีกาได้ตีความข้อกฎหมายแล้วพบว่า หน่วยงานราชการบางแห่งเข้าร่วมโครงการได้ ดังนั้น เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมจึงต้องนำกลับมาพิจารณากันใหม่ และจะจัดลำดับการเข้าร่วมโครงการตามความเหมาะสมต่อไป

อย่างไรก็ดีในส่วนของ โควตาโซลาร์ฟาร์มกลุ่มสหกรณ์การเกษตร 119 เมกะวัตต์จะไม่ใช้วิธีประมูลเพื่อเข้าร่วมโครงการตามแนวความคิดเดิมแล้ว แต่จะให้กลับมาใช้วิธีการจับฉลากเหมือนโครงการเฟสแรก เพราะจากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า วิธีการประมูลจะเสี่ยงต่อการผิดวัตถุประสงค์การเข้าร่วมโครงการของกลุ่มสหกรณ์ฯ จึงต้องกลับมาจับฉลากเหมือนเดิม

 

 

 

 

 

 

 

เรียบเรียง : Nisa T-NEWS