- 22 ก.พ. 2560
ติดตามรายละเอียด http://www.tnews.co.th/
สืบเนื่องจากก่อนหน้านี้ สื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาลได้สอบถาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. เกี่ยวกับปัญหาการตรวจค้นวัดพระธรรมกาย ภายหลังสถานีโทรทัศน์บางช่อง พิธีกรบางคนระบุว่าการใช้มาตรา 44 กับวัดพระธรรมกายแล้วก็ไม่มีความหมาย กลายเป็นว่ารัฐบาลไม่มีน้ำยา รวมถึงศิษย์วัดธรรมกายออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลคสช.ยกเลิกการใช้มาตรา 44 จนพล.อ.ประยุทธ์ต้องให้สัมภาษณ์ด้วยน้ำเสียงจริงจัง
"ไม่ยกเลิก เพราะยังไม่จบเรื่องแล้วจะยกเลิกได้อย่างไร กฎหมายเลิกได้ที่ไหน ในเมื่อยังนำตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีไม่ได้ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ต้องควบคุมไปตลอดจนกว่าพระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสจะมอบตัวหรือดำเนินคดีได้ พร้อมบริหารจัดการใหม่และอย่ามาบอกว่าผมจะไปยึดพระทองคำ เพราะไม่รู้อะไรอยู่ไหน มีหรือเปล่าก็ไม่รู้ และแน่ใจอย่างไรว่าเป็นพระแท้ เป็นไปได้หรือที่นำทองคำไปหล่อพระขนาดนั้น เพราะขนาดสหกรณ์เครดิตยูเนียนคลองจั่นยังรั่วเลย คิดแบบนี้ก็จะรู้คำตอบเอง"
อย่างไรก็ตามกับสิ่งที่พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ในลักษณะดังกล่าว ปรากฎว่าทางเครือข่ายโซเชียลวัดธรรมกาย ได้นำไปวิพากษ์วิจารณ์ตำหนิพล.อ.ประยุทธ์ ว่ามีเจตนากล่าวร้ายวัดธรรมกาย ขณะที่การตรวจสอบของสนข.ทีนิวส์พบว่า กรณีดังกล่าวเคยมีปรากฎเป็นข่าวใหญ่เมื่อปี 2541 โดยในช่วงนั้นวัดธรรมกายได้มีการประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้ประชาชนทำบุญสร้างพระประจำตัวจำนวน 1,000,000 องค์ พร้อมทำป้ายคัตเอาต์ขนาดใหญ่ นำเอาพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมข้อความ "พ่อ คือสุดยอดผู้นำเลิศล้ำกว่าใครในหล้า พระคุณพ่อมากล้นเกินพรรณา ลูกขอบวชบูชาอุบาสิกาแก้ว 100,000 คน วันที่ 29-31 มกราคม 2542" และชักชวนให้ประชาชนบวชอุบาสกแก้ว
ขณะเดียวกัน ต่อมาปรากฎเป็นข้อเท็จจริงในหนังสือพิมพ์รายวันฉบับหนึ่ง ประจำวันที่ 23 ธันวาคม 2541 ระบุใจความสำคัญจากการให้สัมภาษณ์ นายบุญส่ง นุชน้อมบุญ นายช่างประจำกรศิลปากร เป็นช่างหล่อรูปเหมือนหลวงพ่อมงคลเทพมุณีหรือหลวงพ่อสด ที่วัดพระธรรมกายได้โฆษณาชวนเชื่อว่าสร้างจากทองคำแท้หนักถึง 1 ตัน กล่าวว่า ได้รับการติดต่อจากวัดเมื่อ 6-7 ปีที่ผ่านมา โดยพระที่ชื่อหลวงพี่หมู กับศิษย์เก่าของวิทยาลัยช่างศิลป์รายหนึ่งคนคุ้นเคยกับตน มาขอคำแนะนำเรื่องเทคนิคการหล่อ พร้อมบอกว่าเจ้าอาวาสต้องการหล่อรูปเหมือนทองคำของหลวงพ่อวัดปากน้ำ ตนจึงแย้งว่าการหล่อรูปเหมือนทองคำขนาดใหญ่นั้นเป็นการสิ้นเปลือง เพราะทองคำมีราคาแพงและใช้จำนวนมาก
หลวงพี่หมูกลับตอบว่าไม่ใช่หน้าที่ของตน ทางวัดขอเพียงความช่วยเหลือและคำแนะนำเท่านั้น ส่วนเรื่องทองคำที่หามานั้นทางวัดจะจัดการเอง ตนจึงตอบตกลงโดยขอหล่อรูปเหมือนจากตะกั่วเพื่อเป็นการทดลองก่อน หลังจากตกลงกันแล้ว 2 สัปดาห์ต่อมาทางวัดเชิญตนและทีมงาน 2 คน ไปตัวเปล่า เพราะเห็นว่าทองคำจำนวนมากจึงไม่เอาของส่วนตัวติดไปเลย เมื่อไปถึงวัดมีช่างของวัดหลายคนมาช่วยกันโดยช่างบางรายเป็นพระ และผู้ปฏิบัติธรรมที่มีความรู้ทั้งทางจิตรกรรม ช่างศิลป์ และวิศวกรรมมาควบคุมการทำงานอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา
โดยครั้งแรกตนหล่อด้วยตะกั่วหนัก 400 กิโลกรัม (ก.ก.) เมื่อหล่อรูปเหมือนตะกั่วเสร็จแล้วก็กลับมาอีกครั้งเพื่อหล่อพระทองคำ โดยผมกำหนดใช้ทองคำประมาณ 400 ก.ก. และทางวัดบอกว่ามีทองคำ 99.95% จำนวน 600 ก.ก. เตรียมไว้ ทุกขึ้นตอนจะมีเจ้าหน้าที่ของวัดดูแลอย่างรัดกุม มีพนักงานรักษาความปลอดภัยคุมเข้มตลอดเวลา จากนั้นตนเบิกทองคำมาแล้วใช้วิธีหลอมทองจำนวน 10 เบ้าหลอม แต่ละเบ้าหลอมมีทองจำนวน 60 ก.ก. ซึ่งใช้ทองไปเพียง 7 เบ้า หรือประมาณ 420 ก.ก. ก็เต็มองค์ ส่วนทองที่เหลืออีก 3 เบ้า ทางวัดตอบว่าจะนำไปหล่อพระพุทธรูปในโอกาสต่อไป หลังจากเสร็จพิธีแททองหล่อพระในวันดังกล่าวตนไม่เคยไปที่วัดนี้อีกเลย และไม่ทราบมาก่อนว่าทางวัดประชาสัมพันธ์ว่าพระองค์ดังกล่าวมีน้ำหนักถึง 1 ตัน ครั้งแรกรู้สึกแปลกใจเพราะเท่าที่สอบถามญาติโยมที่ไปทำบุญ หลายรายดุจะไม่ได้มีฐานะร่ำรวยมากมาย แต่สามารถบริจาคได้ถึงคนละ 1-2 ก.ก.
นอกจากนั้น นายบุญส่ง กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนไม่อยากโกหก เพราะตนไม่มีลับลมคมในและผลประโยชน์ใดๆ กับวัด เมื่อสื่อมวลชนต้องการข้อเท็จจริงตนก็ต้องเปิดเผย เนื่องจากการหล่อพระหลวงพ่อทองคำขนาดใหญ่นี้ ตนต้องบันทึกลงจดหมายเหตุของช่างว่าสร้างเมื่อใด ขั้นตอนอย่างไร จะโกหกว่ามีน้ำนหักทองคำ 1 ตันจริงไม่ได้ เพราะรูปหล่อนี้มีลักษณะที่กลวง หนาประมาณ 3.0 – 4.0 มิลลิเมตรเท่านั้น ไม่ใช่องค์เต็ม หากเทให้เต็มองค์ต้องใช้ทองคำหนักถึง 3 ตัน ซึ่งก็เป็นเรื่องไม่จำเป็น.
เรียบเรียงโดย กำพลาภร สำนักข่าวทีนิวส์