แทบกลั้นน้ำตาไม่ไหว!! เมื่อ ร.7 ทรงโดนปรามาส จึงตรัสข้อความที่แสดงให้เห็นน้ำพระทัยอันเด็ดเดี่ยว และความรักที่มีต่อราษฎรยิ่งกว่าพระองค์เอง!

ติดตามเรื่องราวดีๆ ได้ที่ http://www.tnews.co.th

 

วันที่ 24 มิย. 2475 เป็นวันที่คณะราษฎรเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยประกาศไว้บนหน้าหนังสือพิมพ์ ลงตีพิมพ์ไว้ในหนังสือพิมพ์วันนั้นว่า... "ด้วยบัดนี้ คณะราษฎรได้จับพระบรมวงษานุวงศ์ไว้เป็นประกันแล้ว ถ้าผู้ใดขัดขวางคณะราษฎร ผู้นั้นจะต้องถูกลงโทษ และพระบรมวงษานุวงศ์จะต้องถูกทำร้ายด้วย"

 

แทบกลั้นน้ำตาไม่ไหว!! เมื่อ ร.7 ทรงโดนปรามาส จึงตรัสข้อความที่แสดงให้เห็นน้ำพระทัยอันเด็ดเดี่ยว และความรักที่มีต่อราษฎรยิ่งกว่าพระองค์เอง!

 

โดยเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ดังกล่าวได้ถูกบันทึกไว้  โดย "หม่อมเจ้า(หญิง)พูนพิศมัย ดิศกุล" โดยบางช่วงบางตอนระบุว่า...

หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่7ทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญ ในวันที่10 ธันวาคม2475แล้ว พระองค์จึงตัดสินพระทัยเสด็จพระราชดำเนินกลับไปประทับยังวังสวนไกลกังวล อำเภอหัวหิน แต่รัฐบาลในขณะนั้นทูลขอให้พระเจ้าอยู่หัวประทับต่อในพระนคร ถึงกับส่งตัวแทนเข้ามาเจรจาเชิญเสด็จกลับทางรถไฟจนเป็นที่น่าแปลกใจว่าทำไมจึงอยากให้เสด็จพระราชดำเนินกลับ 

ซึ่งในขณะนั้นมีข่าวลือมากมายว่าหากพระเจ้าอยู่หัวเสด็จกลับเข้าพระนครฝ่ายพระยาทรงสุรเดชจะคอยดักยึดขบวนรถไฟพระที่นั่งที่บางซื่อแล้วจะบังคับให้พระองค์ทรงเซ็นลาออกจากการเป็นพระเจ้าอยู่หัวเสีย แต่หากมิทรงยินยอมที่จะเซ็นก็จะจับพระองค์ไว้เป็นตัวประกันแล้วให้พระราชวงศ์นำสมบัติมาถ่ายพระชนม์ชีพของพระเจ้าอยู่หัวไป

แทบกลั้นน้ำตาไม่ไหว!! เมื่อ ร.7 ทรงโดนปรามาส จึงตรัสข้อความที่แสดงให้เห็นน้ำพระทัยอันเด็ดเดี่ยว และความรักที่มีต่อราษฎรยิ่งกว่าพระองค์เอง!

 

แทบกลั้นน้ำตาไม่ไหว!! เมื่อ ร.7 ทรงโดนปรามาส จึงตรัสข้อความที่แสดงให้เห็นน้ำพระทัยอันเด็ดเดี่ยว และความรักที่มีต่อราษฎรยิ่งกว่าพระองค์เอง!

เมื่อพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบการเช่นนั้นแล้วจึงตรัสกับ พระยามโนปกรณฯผู้เป็นประธานคณะกรรมการราษฎรที่ในขณะนั้นมาเข้าเฝ้าว่า เรื่องนี้เห็นจะจริงเพราะพระยาทรงสุรเดชเป็นผู้เดียวที่ไม่ได้มาเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัว พระยาทรงสุรเดชผู้นี้เป็นหัวหน้าของเหล่าทหารที่มีความเข้มแข็ง พวกทหารเชื่อฟังเสียด้วย พระยามโนปกรณได้ฟังรับสั่งเช่นนั้นแล้วจึงรีบกลับไปหาพระยาทรงสุรเดชและพามาเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวเพื่อรับรองกับพระองค์ว่าจะไม่เป็นไปตามข่าวลืออย่างแน่นอน

ไม่นานนัก ในเดือนมีนาคมปีถัดมาพระเจ้าอยู่หัวจึงตัดสินพระทัยเสด็จพระราชดำเนินกลับเข้าพระนคร โดยมีพระยาทรงสุรเดชตรวจตราดูแลรักษาพระองค์อย่างกวดขัน ทำให้การเสด็จกลับครั้งนี้พระราชวงศ์และประชาชนเบาใจกันไปว่า “ทหารไม่ได้เป็นพวกนั้นเสียหมด” 

ไม่ช้าก็มีเสียงติเตียนหาว่าพระเจ้าอยู่หัวขี้ขลาด จะเสด็จไปไหนก็ต้องพกปืนกระบอกเล็กๆไปด้วยบางคนก็หัวเราะเยาะพระเจ้าอยู่หัวว่า ปืนกระบอกเล็กเพียงนั้นจะไปสู้อะไรเขาได้



พระเจ้าอยู่หัวจึงตรัสว่า...."ปืนกระบอกนี้มีกระสุนเพียงสองลูก ลูกหนึ่งสำหรับหัวหญิง(สมเด็จพระบรมราชินี) แล้วเป็นของฉันเองอีกลูกหนึ่ง เพราะถ้าจะบังคับให้ฉันเซ็นอะไรที่เป็นการหลอกลวงราษฎรของฉันแล้ว เป็นยิงตัวตาย!”

 

แทบกลั้นน้ำตาไม่ไหว!! เมื่อ ร.7 ทรงโดนปรามาส จึงตรัสข้อความที่แสดงให้เห็นน้ำพระทัยอันเด็ดเดี่ยว และความรักที่มีต่อราษฎรยิ่งกว่าพระองค์เอง!

เรียบเรียงจาก : http://www.thaiihdc.org