- 18 เม.ย. 2560
รู้จริง...รู้แจ้ง...ทุกเรื่องราวแห่งปาฏิหาริย์ http://www.tnews.co.th
จากเหตุการณ์เครื่องบินตกเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๓ ที่ทำให้วงศ์พระป่ากรรมฐานต้องสูญเสียครูบาอาจารย์ถึงห้ารูป ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ “พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ”
ในเว็บไซต์ธรรมะเกตเวย์ (www.dharma-gateway.com) ได้มีท่านหนึ่งตั้งคำถามไว้น่าสนใจว่า พระอาจารย์จวนท่านรู้ล่วงหน้าหรือไม่ว่าเครื่องบินลำนั้นมีความตายรออยู่? ถ้ารู้...ทำไมท่านไม่ถอยหลัง?
ผู้รู้คำตอบที่แท้จริงคงมีตัวตนอยู่ แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าผู้รู้ท่านนั้นคือใคร อยู่ที่ไหน และบางทีอาจจะเป็นตัวพระอาจารย์จวนเพียงผู้เดียวก็ได้
และในหนังสือ “กุลเชฏฐาภิวาท” ซึ่งเรียบเรียงและเขียนโดย “คุณหญิงสุรีพันธุ์ มณีวัต” ก็มีคำตอบต่อคำถามนี้ปรากฏอยู่
คุณหญิงสุรีพันธุ์เป็นศิษย์ที่นับว่าใกล้ชิดพระอาจารย์จวนมากที่สุดท่านหนึ่งที่ได้พากเพียรพยายามเขียนบันทึกชีวประวัติของพระอาจารย์จวนอย่างแข็งขันจนปรากฏเป็นหนังสือเล่มดังกล่าว คุณหญิงเล่าว่า
“สิ่งที่ผู้เขียนสนใจในขณะนั้นก็คือการเขียนประวัติของท่าน ท่านเล่าว่าเคยเล่าประวัติบางตอนให้ศิษย์คนหนึ่งคือคุณขันธ์ เทศประสิทธิ์ จดเอาไว้ โดยห้ามมิให้นำไปแพร่หลายที่ไหน แต่ปรากฏว่าญาติของคุณขันธ์ผู้หนึ่งคือท่านมหาบุญธรรม อาทรธัมโม ได้พบบันทึกนั้น เห็นเป็นประดุจมณีมีค่าจึงได้นำไปเขียนลงในหนังสือพิมพ์ ‘ลานโพธิ์’
ประวัติชุดนี้ต่อมาท่านมหาบุญธรรมก็นำมามอบลิขสิทธิ์ให้ผู้เขียนเพื่อว่าอาจจะมีโอกาสนำไปเขียนเพิ่มเติมเผยแพร่ให้ดีขึ้น แต่เมื่อท่านอาจารย์ทราบก็ห้ามผู้เขียนไม่ให้เขียนต่อไป ท่านว่าไม่อยากให้เผยแพร่หลาย ที่ลงพิมพ์ไปแล้วก็แล้วไป แต่ไม่อยากให้ทำใหม่ จะดูเป็นการโฆษณาหาชื่อเสียงไป
แม้ท่านจะห้ามแล้ว แต่ผู้เขียนก็ไม่ละความพยายาม เรียนท่านว่า การเขียนประวัติบุคคลนั้นทั่วโลกเขานิยมยกย่องกันมาก โดยเฉพาะอัตตโนประวัติหรือ Autobiography ซึ่งเจ้าของประวัติเป็นผู้เล่าเอง ถือว่าเป็นการให้บทเรียนแนวทางดำเนินชีวิตแด่อนุชนผู้อยู่หลังอย่างมีค่าที่สุด ประสบการณ์ของผู้เกิดก่อนย่อมเป็นเสมือน ‘ครู’ ให้ผู้อยู่หลังได้ศึกษาสิ่งที่ผิดพลาด ก็จะทำให้ระมัดระวัง ไม่กระทำผิดซ้ำรอย แต่ถ้าเป็นสิ่งที่ถูกต้องดีงามก็จะเป็นแรงบันดาลใจให้ลูกศิษย์ได้ชื่นชมและพยายามดำเนินตาม ‘รอยเท้า’ ของครูบาอาจารย์ให้ได้ ...”
ต่อมาคุณหญิงสุรีพันธุ์ได้กราบเรียนพระอาจารย์จวน ขอให้ท่านอัดเทปทิ้งไว้ก่อน ซึ่งท่านก็กรุณาอัดไว้ให้ คุณสุรีพันธุ์ก็ส่งเทปเปล่าไปถวายท่านเรื่อย ๆ ท่านว่างก็อัดไว้เรื่อย ๆ เช่นเดียวกัน คุณหญิงเล่าต่อไปว่า
“สุดท้ายคิดว่าท่านคงลืมหรือไม่สนใจ อย่างใดอย่างหนึ่ง กระทั่งวันหนึ่งก่อนเข้าพรรษาปี ๒๕๒๑ ท่านจึงได้เอ่ยขึ้นโดยไม่มีอารัมภบทใดล่วงหน้าเลย ...
‘ประวัติเสร็จแล้ว...จะเอาไหม?’
‘ประวัติ!’ ... ผู้เขียนแทบไม่เชื่อหูตัวเอง เป็นเวลาสองปีกว่า...ท่านไม่เคยเอ่ยถึง แล้วจู่ ๆ ท่านก็มาบอกเช่นนี้
‘ประวัติอาตมาน่ะซี ... ก็เราอยากได้ไม่ใช่หรือ’
‘เจ้าค่ะ’ ... ผู้เขียนยังงงอยู่
‘ถ้าไม่ต้องการแล้วก็ไม่เป็นไร’
‘ต้องการซีเจ้าคะ’ ... ผู้เขียนละล่ำละลักตอบ
‘รับปากได้ไหมว่าจะเก็บไว้ ไม่ให้เอาไปลอก ไม่ให้เอาไปเขียน ไม่ให้เอาไปพิมพ์ จนกว่าอาตมาจะตายแล้วจึงให้เขียนได้พิมพ์ได้ ... ถ้ารับปากไม่ได้อย่าเอาไป’
แน่นอน...ผู้เขียนรับปาก”
[พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ]
[ภาพเหตุการณ์เครื่องบินตก]
ต่อมาใกล้เวลาเจียนจะครบรอบอายุ ๖๐ ปีของพระอาจารย์จวนในวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๒๓ คุณหญิงสุรีพันธุ์ก็คิดอยากจะพิมพ์ประวัติของท่านเพื่อโอกาสนั้น ทีแรกท่านไม่อนุญาต แต่ภายหลังทนรบเร้าไม่ได้จึงอนุญาต
“ความจริงต้นเหตุที่จะมีการขออนุญาตพิมพ์ประวัติท่านเพื่อแจกในวันครบ ๖๐ พรรษา ทั้ง ๆ ที่ท่านเคยสั่งเป็นคำขาดห้ามพิมพ์โฆษณาระหว่างที่ท่านยังมีชีวิตอยู่นั้น เป็นเพราะระยะหลังนี้ท่านอาจารย์เคยปรารภให้ลูกศิษย์ฟังหลายครั้งว่า ท่านและท่านอาจารย์วันต่างองค์ต่างเข้าที่พิจารณากันว่าจะมีอายุไปเท่าไหร่ เห็นว่าจะมีอายุยืนมาก เฉพาะท่านนั้นจะมีอายุถึง ๙๒ ปีทีเดียว ท่านเล่าว่าตอนนั้นคงไม่ได้พบกันแล้ว ต่างองค์ต่างอยู่ ไปหากันไม่ไหว ต้องสั่งฝากไปหากันเหมือนหลวงปู่ขาวกับหลวงปู่แหวนน่ะแหละ
ผู้เขียนฟังแล้วก็เกิดความคิดว่า ถ้าท่านจะมีอายุยืนถึงเก้าสิบกว่าปี เราจะเก็บประวัติของท่านไว้อย่างไร เราคงตายก่อนท่านแน่ และน่าเสียดายที่ประวัติดี ๆ อย่างนี้จะต้องเก็บไว้ไม่ยอมเปิดเผยไปอีกหลายสิบปี จึงได้อ้อนวอนขอพิมพ์ก่อนโดยยกการที่ท่านจะมีอายุครบห้ารอบขึ้นมาเป็นข้ออ้าง ... และกว่าจะพิมพ์ได้ ท่านก็ทิ้งพวกเราไปแล้วจริง ๆ
เรื่องที่ว่าท่านและท่านอาจารย์วันพิจารณาแล้วจะอยู่ไปจนอายุเก้าสิบกว่านี้ ท่านพูดอยู่จนแม้เมื่อเราไปธุดงค์ที่ภูวัวกับท่านตอนต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๒๓ แต่เมื่อเราได้กราบท่านเดือนมีนาคม ท่านเริ่มพูดถึงการพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่ชอบใจเป็นทุกข์บ่อย ๆ เทศน์เรื่องกรรม เทศน์เรื่องปัจฉิมโอวาทหลายครั้ง จนเราออกปากกันและเตรียมอัดเทป ท่านก็ตั้งต้นเลยว่า
‘นับแต่วันนี้ไปอีกสามเดือน เราตถาคตจะขอลาพวกท่านทั้งหลายเข้าสู่พระนิพพาน เพราะอายุสังขารของเราสุดสิ้นลงเพียงแค่นั้น ... ให้พระอานนท์ประกาศแก่สงฆ์ทั้งหลายให้ทราบทั่วกัน’
จริงอยู่...ท่านเพียงได้นำพระพุทธดำรัสปลงพระชนมายุสังขารของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากล่าวซ้ำในโอกาสวันมาฆบูชา แต่ปกติก่อนเทศน์ ท่านต้องมีอารัมภบทเล็กน้อยก่อนเสมอ เช่น ให้หลับตานั่งสงบจิต ตั้งใจฟัง วันนี้จะเทศน์เรื่องปัจฉิมโอวาท ฯลฯ หรืออะไรเหล่านี้ แต่วันนั้นท่านตั้งต้นเช่นนั้นเลยทีเดียว เราฟังยังสะดุ้งกันอยู่ แต่แล้วก็ว่า อ้อ! เรื่องพระพุทธเจ้าน่ะ การเทศน์เรื่องกรรม เรื่องการเกิดการแก่การเจ็บการตายเป็นธรรมดา การพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่ชอบใจ เกือบทุกวัน เราคิดกันว่าท่านเตือนพวกเรามิให้ประมาทต่อความตายเป็นธรรมดาของท่าน
ต้นเดือนมีนาคม ผู้เขียนไปราชการอเมริกาเสียสี่อาทิตย์ กลับมาถึงบ้านกลางคืนวันที่ ๓๐ มีนาคม ก็ทราบว่าที่บ้านเตรียมเรือนไทยทางด้านหลังไว้เรียบร้อยแล้ว เพราะพรุ่งนี้บ่ายท่านอาจารย์วันและท่านอาจารย์จวนจะลงมากรุงเทพฯ ในกิจนิมนต์สำคัญ ยังดีใจว่ากลับเมืองไทยก็ได้กราบครูบาอาจารย์เลย
เสร็จพิธีวันที่ ๓ เมษายน แล้ว ท่านอาจารย์วันต้องกลับไปสกลนครก่อน เพราะทางวัดถ้ำอภัยดำรงธรรมของท่านมีงานนมัสการพระมงคลมุจลินทร์บนถ้ำพวง เริ่มตั้งแต่วันที่ ๓ เมษายน ทีเดียว ท่านเป็นประธานในงาน และจะมีพิธีขอฝนช่วยชาวเมืองสกลนครด้วย ท่านจึงอยู่ต่อไปไม่ได้ ต้องกลับทันที
เดิมท่านอาจารย์จวนจะกลับไปพร้อมกับท่านอาจารย์วัน ท่านว่ามาด้วยกันก็กลับด้วยกัน แต่เมื่อพวกศิษย์กราบอ้อนวอนท่าน ขอให้อยู่ต่อไปก่อน ถ้าหากท่านจะรอกลับคืนวันศุกร์หรือวันที่ ๔ เมษายน พวกศิษย์จะขอตามไปด้วย ไม่ต้องลางาน ท่านก็เมตตารอเราอยู่
คราวนั้นมีพวกศิษย์ตามท่านกลับไปสิบกว่าคน เราอ้อนวอนว่าขอให้แวะไปเยี่ยมท่านอาจารย์วันด้วย ท่านก็ตกลง ขบวนรถเราวิ่งไปตลอดคืน พอสว่างก็ถึงวัดถ้ำอภัยดำรงธรรมได้ทันถวายจังหันเช้าพอดี
เป็นวันสุดท้ายที่เราได้กราบท่านอาจารย์วัน!
และระหว่างอยู่ถ้ำพวง ผู้เขียนตอนนั้นอ่านต้นร่างประวัติของท่านอาจารย์จวนจนขึ้นใจแล้วจึงได้กราบเรียนถามถึงสถานที่ต่าง ๆ ตามที่ท่านเล่าไว้ในประวัติระหว่างจำพรรษาอยู่ที่ถ้ำพวง เช่น เรื่องถ้ำพระอรหันต์ชื่อพระนรสีห์มานิพพาน เรื่องกระต่ายมายืนภาวนาเวลาท่านเดินจงกรม ถ้ำที่ท่านพักอยู่ ท่านก็เมตตานำพวกเราไปดูสถานที่ทุกจุดที่อยู่ในประวัตินั้น ทำให้ภายหลังเราได้กลับไปถ่ายภาพสถานที่เหล่านั้นมาได้ครบ
ระหว่างอยู่ที่ภูทอกต้นเดือนเมษายนนั้นเอง บ่ายวันหนึ่งท่านหันมาหาผู้เขียน ...
‘เส... เส... ช่วยทำศพให้อาตมาด้วยได้ไหม’
ระยะหลังตั้งแต่ไปธุดงค์ในเดือนเมษายน ปี พ.ศ. ๒๕๒๒ แล้ว ท่านก็มักจะไม่เรียกชื่อผู้เขียน แต่เรียก ‘เส’ แทน ย่อมาจาก ‘เสนาธิการ’ (ต้นเรื่องก็เพราะผู้เขียนเป็นคนช่างคิดช่างวางแผนทางด้านงานบุญ) วันนั้นท่านเรียก ‘เส’ แต่ผู้เขียนก็ยังจับใจความไม่ถนัดเพราะสมองไม่ทันรับความหมาย ท่านถามซ้ำ
‘ว่าไงเส... ทำศพให้อาตมาได้ไหม?’
ผู้เขียนยังจำได้ ... เพียงสองเดือนก่อนหน้านั้นท่านยังพูดถึงเรื่องที่ท่านและท่านอาจารย์วันจะอยู่เหมือนหลวงปู่ขาวและหลวงปู่แหวน จึงค้านว่า
‘จะทำศพอย่างไรเจ้าคะ ... ท่านอาจารย์จะอยู่ถึงเก้าสิบกว่าไม่ใช่หรือเจ้าคะ?’
หมายความว่าผู้เขียนคงจะตายก่อนท่าน หรือถ้าจะมีชีวิตยืนยาวกว่าท่าน แต่ก็คงเฉียดเก้าสิบเหมือนกัน อายุปานนั้นแล้วจะมีสติปัญญาทำอะไรได้
ท่านก็ว่ายิ้ม ๆ ...
‘ก็ถ้าเผื่อมันต้องเปลี่ยนแปลงล่ะ’
ผู้เขียนจึงตอบว่า ‘ถ้าอย่างนั้นก็ทำถวายได้ซีเจ้าคะ’
กราบเรียนท่านแล้วก็มิได้นึกอะไรอีก จนต่อมาเกิดอุบัติเหตุแล้วเราจึงนึกกันได้
วันที่กราบลาท่านเป็นครั้งสุดท้ายคือเช้าวันที่ ๘ เมษายน ดูเหมือนท่านมีเรื่องสั่งกำชับเรากันหลายคน พวกที่ชอบแขวนเหรียญ มีด้ายสายสิญจน์ผูกข้อมือ ท่านก็บอกให้ถอดทิ้งในวันนั้นเอง ...
‘นักปฏิบัติแล้วไม่ต้องมีหรอก’
‘เวลาไม่มีครูบาอาจารย์ก็ปฏิบัติไปนะ... อย่าถอยหลัง’
เราก็นึกว่าท่านสอนให้รู้จักพึ่งตัวเองเวลาไม่มีครูบาอาจารย์ หมายความว่า ไม่มีครูบาอาจารย์อยู่ใกล้ อยู่ห่างกัน ก็ให้ภาวนาไป ไม่เช่นนั้นพวกเราก็มักขี้เกียจกัน คอยแต่จะต้องรอให้ท่านคุม ให้ท่านสอน ถึงจะปฏิบัติ
‘อย่าถอยหลังนะ ... รับคำอาตมาก่อน’
ท่านสั่งซ้ำ ผู้เขียนยังยิ้มเฉย นึกในใจว่าวันนี้เราถูกดุมากกว่าเพื่อน เตรียมจะกราบลา ท่านก็ว่าเรานั่นแหละ ...
‘อย่าเพิ่งไป... รับคำอาตมาก่อน... เราอย่าถอยหลังนะ!’
ระหว่างที่มาพักอยู่เรือนไทยลาดพร้าวเดือนเมษายนครั้งหลังนี้เองที่ท่านอาจารย์วันและท่านคุยกันเรื่องเกษียณ ไม่รับนิมนต์อีกต่อไป ท่านปรารภกันว่า ระยะนี้เหนื่อยเต็มที นิมนต์กันไม่มีเวลาหยุดพักเลย บางทีฉันเช้าเสร็จก็จะมีคนนิมนต์ไปเหยียบบ้าน เหยียบโรงงาน เทศน์จากบ้านนี้ไปต่อบ้านโน้น โรงงานนั้น โรงพยาบาลนี้ ร้านค้านั้น บางวันกว่าจะกลับถึงที่พักก็สี่ทุ่ม และยังมีแขกคอยรอกราบอีก
ผู้เขียนเคยเห็นท่านรับนิมนต์สวดมนต์เย็นจังหวัดหนึ่งแล้วไปต่อสวดมนต์พิธีฉลองโบสถ์อีกจังหวัดหนึ่ง กว่าจะถึงบริเวณพิธีก็ตีหนึ่ง เมื่อถึงแล้วท่านก็เริ่มสวดต่อไปจนสว่างเลย ใครเห็นก็อดสงสารท่านไม่ได้ รับนิมนต์ทีหนึ่ง ๆ กลับวัดท่านจะแทบล้มพับกันไป บางทีก็ไม่ได้สรงน้ำ
‘เมื่อไรเราจะเกษียณกันสักที’ ... ท่านอาจารย์วันปรารภขึ้นในวันนั้นที่ลาดพร้าว
‘เกษียณเป็นอย่างไร?’ ... ท่านอาจารย์จวนซัก
‘เกษียณก็แบบข้าราชการไงล่ะ เขาทำงานมามาก พออายุครบ ๖๐ ราชการเขาให้พัก ไม่ต้องไปทำงานอีก เรียกว่าเกษียณ’ ... ท่านอาจารย์วันอธิบาย
ท่านอาจารย์จวนได้ฟังก็ร้องอ๋อ ... ‘งั้นเกษียณกันตอนหกสิบปีนี้แหละ’
หลังจากท่านมรณภาพแล้ว ระหว่างตั้งศพบำเพ็ญกุศลอยู่ ณ วัดพระศรีมหาธาตุ สมเด็จพระญาณสังวรฯ ได้ซักผู้เขียนว่า ท่านอาจารย์เคยพูดว่าอย่างไรบ้าง เมื่อเล่าถวายมาถึงเรื่องเกษียณ ท่านก็อุทานว่า ความจริงเกษียณนั้นแปลว่าหมดไป สิ้นไป”
[คุณหญิงสุรีพันธุ์ มณีวัต]
คุณหญิงสุรีพันธุ์ได้อธิบายต่อไปว่า
“ตลอดเวลาตั้งแต่ข่าววันประสบอุบัติเหตุมาจนเดี๋ยวนี้เป็นเวลาเกือบหนึ่งปีเต็ม ผู้เขียนได้รับคำถามซ้ำซากอยู่แต่ว่า ‘คุณว่าท่านรู้ไหม?’ ผู้ถามเป็นทั้งบรรพชิตและฆราวาส ผู้เขียนไม่ทราบจะตอบว่าอย่างไรเพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องของท่าน ผู้เขียนทำได้แต่เพียงพยายามเล่าเหตุการณ์เท่าที่ประสบพบเห็น ประมวลมาเท่านั้น”
คุณหญิงสุรีพันธุ์ได้เล่าถึงเหตุการณ์ครั้งหนึ่งก่อนมรณภาพไม่นานนักว่า ท่านได้บอกทุกคนว่า ต่อไปใครถามหาเจ้าอาวาสภูทอกก็ให้บอกว่าท่านแยง ไม่ใช่อาตมา เพราะว่าท่านได้ยกท่านแยงให้เป็นเจ้าอาวาสแทนแล้ว
แม้กระทั่งเทปประวัติที่ท่านได้อัดเอาไว้เจ็ดม้วนสุดท้ายก่อนมรณภาพเพียงสองสามวัน ท่านก็สั่งให้ทางวัดเก็บไว้ให้คุณหญิงสุรีพันธุ์ทั้ง ๆ ที่ท่านกำลังจะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ อยู่แล้ว ท่านได้บอกกับทางวัดว่าคุณหญิงจะมารับเทปชุดสุดท้ายนี้เอง ถ้าท่านนำเทปชุดนี้มาด้วยก็คงเสียหายไปพร้อมกับชีวิตของท่านอย่างไม่ต้องสงสัย
คุณสุรีพันธ์ได้เล่าอีกว่า
“ศิษย์ผู้ใกล้ชิดคนหนึ่งได้มีโอกาสกราบท่านก่อนเดินทางมากรุงเทพฯ ครั้งนี้ เล่าว่าท่านอาจารย์ได้บอกว่า
‘นับแต่นี้ไปอีกสามวันจะมีคนเช็ดน้ำตาให้เราทั้งเมือง เหมือนที่เราเคยเช็ดน้ำตามาแล้วนับชาติไม่ถ้วน แต่นี้ไปเราจะไม่ต้องเช็ดน้ำตาอีกแล้ว’ ”
ถึงตรงนี้แล้ว เราคิดอย่างไร?
พระอาจารย์จวนรู้หรือไม่ว่าเครื่องบินลำนั้นมีความตายรออยู่? ถ้ารู้...ทำไมท่านไม่ถอยหลัง?!!
-----------------------------------------------------------------------------
ที่มา : เว็บไซต์ http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-juan/lp-juan-hist-10.htm