มีความสุขได้ง่ายๆอย่างพอเพียง!! เกษตรกรนครพนม น้อมนำหลักเกษตรทฤษฎีใหม่ปรับใช้ในชีวิต สร้างความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืน

วันที่ 19 เม.ย. 2560  การทำเกษตรทฤษฎีใหม่ เป็นหลักการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและการบริหารงานในการทำการเกษตรเข้าด้วยกัน ดั่งที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชรัชกาลที่ 9  ดำริขึ้นและทรงพระราชทานแก่พสกนิกรชาวไทย เพื่อแก้ไขปัญหาด้านการเกษตรทำให้ทุกคนอยู่อย่างมีความสุข ซึ่งครอบครัวของนายบ่วง ปู่มะรัตน์ เกษตรกรบ้านดอนนาหงษ์ อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม ก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ได้น้อมนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันจนนำมาซึ่งความสุข

 

นายบ่วง ปู่มะรัตน์ เปิดเผยว่าตนเองมีที่ดินอยู่ประมาณ 2.5 ไร่ ไม่ได้แบ่งพื้นที่ตามเกษตรทฤษฎีใหม่ทั้งหมด แต่เป็นการนำเอามาปรับใช้แทน โดยทุกอย่างจะเริ่มจากการอ่านหนังสือ ดูทีวี ปรึกษาหน่วยงานราชการและผู้ที่ประสบความสำเร็จแล้ว จากนั้นก็จะทดลองปลูกพืชที่ละอย่างในจำนวนที่ไม่มากนักเพื่อดูการเจริญเติบโต วิธีการดูแลรักษา และผลผลิตที่ได้ ว่าคุ้มค่ากับการลงทุนของตนเองไหม ซึ่งถ้าได้ผลดีก็จะขยายผลต่อ ไป พร้อมๆกับการลงทุนปลูกพืชชนิดอื่นต่อไปเรื่อย ทำให้ขณะนี้พื้นที่ของตนเองมีพืชหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น มะพร้าว มะม่วง มะยมชิด ขนุน ลิ้นจี่ แก้วมังกร ขิง ข่า ตระไคร้ กล้วยน้ำหว้า กล้วยเล็บมือนาง สับปะรด ต้นไผ่เลี้ยงน้อง ข้าวโพด และถั่วฟักยาว ซึ่งพืชบางชนิดสามารถปลูกในพื้นที่รวมกันได้ อย่างเช่น ข้าวโพดตนเองก็จะปลูกกับไม้เลื้อยอย่างถั่วฟักยาว เพื่อใช้ลำต้นของข้าวโพดเป็นที่ยึดเหนี่ยวทำให้ลดต้นทุนในการใช้ไม้แคร่ โดยผลผลิตของตนเองจะเป็นแบบอินทรีย์ทั้งหมด วัสดุบางอย่างแทบไม่ต้องซื้อหา อย่างเช่น ปุ๋ยและสารกำจัดศัตรูพืช ก็จะนำความรู้ที่ได้จากเจ้าหน้าที่ของสำนักงานพัฒนาที่ดินมาทำไว้ใช้เอง ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยหมัก น้ำหมักสารชีวภาพ ซึ่งก็มาจากวัสดุเหลือใช้ในแปลงเกษตรและเศษอาหารในครัวเรือนทั้งสิ้น ส่วนน้ำก็จะได้จากบ่อบาดาลที่เจาะเอาไว้ และขณะนี้ก็ถือว่าเป็นโชคดีอีกชั้นเพราะรัฐบาลได้มีโครงการเกษตรแปลงใหญ่ในพื้นที่แถวนี้ ทำให้ในอนาคตจะมีน้ำเพิ่มมากขึ้นจากการส่งน้ำมาช่วยเหลือเพิ่มเติมของกรมชลประทาน 

นางพรรณงาม ปู่มะรัตน์  กล่าวว่า ผลผลิตที่ได้จากพื้นที่ทั้งหมดจะเป็นลักษณะหมุนเวียนตามฤดูกาล โดยจะมีคนมาสั่งจองล่วงหน้า เมื่อได้ผลผลิตตนเองก็จะนำไปส่งตามตลาดนัดชุมชน หรือบางทีพ่อค้า แม่ค้าก็จะเดินทางมารับเองถึงสวน  สำหรับราคาจำหน่ายนั้นจะเป็นแบบราคาส่ง ซึ่งแต่ละวันจะมีรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 400 - 500 บาท แต่ในช่วงนี้จะมีรายได้สูงขึ้นกว่าปกติอีกนิดหน่อย เพราะการจำหน่ายหน่อกล้วยที่เพาะพันธุ์ไว้  ซึ่งตอนนี้กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมากเพราะตนเองจำหน่ายที่ราคา 35 บาทต่อหน่อ ขณะที่ท้องตลาดจำหน่ายในราคา 50 บาท แต่ถ้าซื้อมากตนก็จะลดราคาลงอีก เหลือเพียง 3 หน่อ 100 บาท ซึ่งถ้าถามว่าคุ้มไหมก็ต้องตอบว่าคุ้มเพราะทุกอย่างต้นทุนไม่ได้สูงอะไร ที่สำคัญคือครอบครัวตนเองถือว่าได้แบ่งปันอาหารและความสุขให้กับคนที่มาซื้อด้วย เหมือนพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงแบ่งปันทุกอย่างให้กับครอบครัวของเรา ทำให้มีกิน มีใช้ และได้อยู่กันพร้อมหน้าอย่างมีความสุข

ภาพ/ข่าว ประทีป วชิระธัญญากุล/กันต์ ธนาอัครชล   ผู้สื่อข่าวภูมิภาค  สำนักข่าวทีนิวส์  จ.นครพนม