- 24 เม.ย. 2560
รู้จริง...รู้แจ้ง...ทุกเรื่องราวแห่งปาฏิหาริย์ http://www.tnews.co.th
หากพูดถึง "สุนัข" ทุกคนจะนึกถึงสัตว์เลี้ยงที่มนุษย์ส่วนใหญ่คุ้นเคยกันดี แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าสุนัขตัวแรกมีประวัติความเป็นมาอย่างไร และพวกมันจับพลัดจับผลูมาเป็นสัตว์เลี้ยงคู่ใจของมนุษย์ได้อย่างไร?
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ซึ่งเป็นผู้ที่รักสุนัขและค้นคว้าเรื่องราวของสุนัขมาอย่างดี ท่านได้เล่าถึงประวัติความเป็นมาของสุนัขไว้ในหนังสือเล่มหนึ่ง ดังนี้ :
[ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช]
ตามหลักฐานที่ได้ค้นคว้ากันมา หมาและคนเริ่มรู้จักกันในตอนปลายของสมัยหินยุคต้น แล้วมาคบหาสนิทสนมถึงกับอยู่บ้านเดียวกัน กินอยู่หลับนอนด้วยกัน ในตอนแรกของสมัยยุคหินยุคปลาย ซึ่งนับเป็นเวลาก็ตกสี่หมื่นปีถึงหกหมื่นปีมาแล้ว
หมาที่เริ่มมารู้จักกับคนจนในที่สุดถึงคบหาเป็นมิตรกันมาทุกวันนี้นั้นเป็นหมาป่าพันธุ์หนึ่ง มีชื่อสกุลเป็นภาษาละตินว่า ‘Canis Aureus’ แปลเป็นไทยว่า ‘สุนัขทอง’ เพราะมีขนยาวเป็นสีทองอร่ามไปทั้งตัว
หมาป่าพันธุ์สุนัขทองนี้เรียกได้ว่าเป็นต้นตระกูลหมาที่เราเลี้ยงกันอยู่ทุกวันนี้
ต่อมามีหมาป่าอีกพันธุ์หนึ่งที่มนุษย์นำมาเลี้ยง มีชื่อละตินว่า ‘Canis Lupus’ แปลตรงๆ ว่า ‘หมาป่า’
หมาชนิดนี้เชื่องกว่าหมาทอง มีขนยาว หางเป็นพวง หูตั้ง กระดูกแก้มโหนก และหางตาเอนขึ้นข้างบน มีนิสัยใจคอเป็นอิสระกว่าหมาทอง
หมาป่านี้เมื่อมาอยู่กับคนก็ผสมพันธุ์กับหมาทองและออกลูกหลานสืบมาเป็นหมาพันธุ์ต่างๆ แต่พันธุ์หมาทุกวันนี้เป็นเชื้อสายหมาทองเกือบทั้งสิ้น
หมาฝรั่งพันธุ์ใหญ่ๆ เช่น พันธุ์เกรตเดน พันธุ์แอลเซเชียน และอื่นๆ นั้น ดูรูปร่างหน้าตาก็น่าสันนิษฐานว่ามาจากพันธุ์หมาป่า แต่เอาจริงเข้าก็เปล่า ที่แท้ก็มีบรรพบุรุษเป็นหมาทองตัวเล็กๆ ทั้งนั้น ตลอดจนหมาฝรั่งพันธุ์เล็กพันธุ์น้อยต่างๆ ก็สืบเชื้อสายมาจากหมาทองเช่นเดียวกัน
ส่วนหมาที่สืบตระกูลมาจากหมาพันธุ์หมาป่ามากหน่อยนั้นได้แก่หมาที่ใช้ลากเลื่อนน้ำแข็งแถบขั้วโลกเหนือ หมาพันธุ์ที่ฝรั่งเรียกว่า ‘Samoyedes’ และหมาจูของจีน ขนพองๆ ที่ฝรั่งเรียกว่า ‘Chow-Chow’ คนจีนแถวฮ่องกงเลี้ยงกันมากทั้งบนบกและในน้ำ...คืออยู่บนเรือ
หมาอีกชนิดหนึ่งที่เราเรียกว่า ‘หมาแม้ว’ ก็เป็นชนิดหนึ่งของพันธุ์นี้
ส่วนหมาไทยเรานั้น แต่แรกผมดูรูปร่างหน้าตาก็คิดว่ามาจากพันธุ์หมาทอง แต่ภายหลังนี้มาลองเลี้ยงดู รู้จักนิสัยใจคอกันมากเข้า ก็เห็นว่าไม่ใช่หมาทองเสียแล้ว แต่เป็นหมาป่าเป็นแน่ แต่จะเป็นหมาชนิดใดยังไม่แน่นัก เพราะหมาป่าที่คนเลี้ยงแต่ดั้งเดิมนั้นมีพื้นเพอยู่ในเมืองหนาวทางแถบเหนือของโลก ทางแถบเมืองไทยนี้คงมาไม่ถึง
แต่ทางภาคนี้ก็มีหมาป่าอีกชนิดหนึ่ง ฝรั่งเรียกว่า ‘Dingo’ เป็นหมาป่าแถบนี้ และข้ามไปยังทวีปออสเตรเลียพร้อมกับคน เดี๋ยวนี้ก็ยังแพร่หลาย เป็นหมาป่าที่ดุร้ายจริงๆ อยู่ในออสเตรเลีย ลักษณะรูปร่างหน้าตาท่าทางตลอดจนนิสัยใจคอก็ใกล้กับหมาไทย ชวนให้สงสัยว่าจะเกี่ยวเนื่องใกล้ชิดกันมาก
[สุนัขตระกูล Canis Aureus]
[สุนัขตระกูล Canis Lupus]
เรื่องที่ควรจะสนใจเกี่ยวกับความผูกพันระหว่างคนกับหมานั้นก็คือ ความผูกพันนั้นเริ่มขึ้นได้ในลักษณะเช่นใด เพราะเมื่อหกหมื่นปีหรือสี่หมื่นปีมาแล้ว หมาก็ยังเป็นสัตว์ป่า เหตุไฉนจึงกลายเป็นสัตว์คนเลี้ยงไปได้ ... น่าจะมีจุดเริ่มต้นที่ไหนสักแห่งหนึ่ง
การสันนิษฐานเหตุที่เกิดขึ้นแล้วนับเป็นหมื่นปีนั้นเป็นของทำง่าย เพราะคนสันนิษฐานก็มิได้อยู่ในขณะนั้น จะสันนิษฐานว่าอย่างไรก็คงไม่มีใครขัดคอได้ เพราะคนที่ฟังก็ไม่เคยอยู่เมื่อเหตุเกิดเหมือนกัน
แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ที่จะสันนิษฐานควรจะเป็นผู้ได้ลงทุนศึกษาข้อเท็จจริงอันเป็นผลแห่งเหตุนั้นมากสักหน่อย มิใช่ใครๆ ก็สันนิษฐานได้ เพราะข้อสันนิษฐานที่สาวจากผลไปหาเหตุนั้นยังดีกว่าข้อสันนิษฐานลอยๆ
ข้อสันนิษฐานต่อไปนี้จึงมิใช่ของผมเอง แต่เป็นของนาย Konrad Z. Lorenz ชาวเยอรมันผู้เชี่ยวชาญทางสัตวศาสตร์ ศึกษาเรื่องหมูหมากาไก่มาช้านาน
เขาว่า เมื่อสมัยยุคหินนั้น มนุษย์ยังท่องเที่ยวหากินกันเป็นฝูงๆ ค่ำที่ไหนก็นอนที่นั่น ผู้ชายออกหน้าไปก่อนเพื่อล่าสัตว์ ผู้หญิงและเด็กก็ตามไป พอค่ำลงก็ก่อไฟเข้า แล้วเอาเนื้อสัตว์ปิ้งกิน และนอนหลับอยู่รอบๆ กองไฟนั้น
ฝ่ายหมาทองซึ่งเป็นบรรพบุรุษของหมาทั้งปวงนั้น ในสมัยนั้นยังเป็นสัตว์ที่ออกหากินกลางคืนเป็นฝูงๆ เห็นแสงไฟจากกองไฟของมนุษย์และกลิ่นเนื้อสัตว์ที่มนุษย์เอามาเป็นอาหารก็สนใจ พากันมาเรียงรายอยู่ในที่มืดรอบๆ วงที่มนุษย์ค้างคืนอยู่
ในระยะนั้นหมาทองอยู่ห่าง ไม่เข้าใกล้ เพราะขืนเข้ามา มนุษย์ก็คงทำร้ายเอา
ความสัมพันธ์ในชั้นต้นก็มีเพียงแค่นี้ และความสัมพันธ์เพียงเท่านี้นั้นอาจอยู่ไปเป็นร้อยหรือพันปีก่อนที่จะมีอะไรเปลี่ยนแปลง
ในสมัยนั้น สัตว์ใหญ่ๆ น่ากลัวที่ชอบจับมนุษย์กินเป็นอาหารก็ยังมีอยู่มากและแพร่หลายไปทั่ว เช่น เสือโบราณที่เราเรียกกันว่า ‘เสือเขี้ยวดาบ’ (Sabre-toothed Tiger) เพราะมีเขี้ยวงอกยาวโง้งออกมาจากปากเหมือนดาบ สัตว์ใหญ่เหล่านี้ก็หากินกลางคืน ฉะนั้น ขณะที่ฝูงมนุษย์พักผ่อนหลับนอนในเวลาค่ำคืนจึงประมาทไม่ได้ ต้องผลัดกันนั่งยามเพื่อคอยระวังภัยอยู่เสมอ
คนที่นั่งยามนั้นคงจะง่วงและเหงา แต่ในยามเหงานั้นก็คงได้หมาเป็นเพื่อน เพราะมีฝูงหมาคอยอยู่รอบนอก ถึงจะไม่เห็นตัวก็คงแลเห็นลูกตาซึ่งสะท้อนแสงไฟ เรียกได้ว่ามีอะไรดูเพลินๆ พอแก้กลุ้มได้บ้าง
ส่วนความง่วงนั้นเมื่อมาถึงตัวก็คงจะทำให้หลับยาม แต่ถึงจะหลับยามบ้างก็ไม่สู้เป็นไรนัก เพราะพอถึงคราวที่สัตว์ใหญ่มาใกล้ที่พักแรม หมาซึ่งอยู่รอบนอกนั้นได้กลิ่นสัตว์ใหญ่แต่ไกลคงจะเห่าหอนขึ้นก่อน แล้ววิ่งหนีกันเกรียวกราว ทำให้ยามตื่นจากหลับ หรือหากไม่หลับ เสียงของหมาก็เป็นสัญญาณภัยบอกให้รู้ตัวล่วงหน้า มีเวลาได้ปลุกพวกพ้องขึ้นคอยขับไล่ต่อสู้สัตว์ใหญ่ที่ละลาบละล้วงเข้ามานั้นมิให้ทำอันตรายได้
ประโยชน์ของหมานั้นก็เกิดมีขึ้นบ้างแล้ว แต่มนุษย์ก็คงยังไม่เห็น เพราะมนุษย์สมัยนั้นโง่
เหมือนนักการเมืองบางคนที่เกลียดหนังสือพิมพ์ หนังสือพิมพ์ช่วยกันโห่ร้องเป็นสัญญาณให้รู้ว่าภัยกำลังจะมาถึงตัวก็ไม่ฟัง กลับหาว่าหนังสือพิมพ์ปองร้าย คิดประหัตประหารหนังสือพิมพ์ จนภัยมาถึงตัวเข้าจริงๆ ต้องวิ่งไปอยู่เมืองเขมร ซึ่งบัดนี้ถึงจะเห็นคุณหนังสือพิมพ์แล้วก็คงอ่านหนังสือพิมพ์ไม่ได้เพราะอ่านหนังสือเขมรไม่ออก ... กรรมแท้ๆ ทีเดียว ... คิดดูอีกทีก็สะใจ
[คอนราด ลอเรนซ์ นักสัตววิทยาชื่อดัง]
หมาอาจอยู่ในฐานะเป็นสัญญาณภัยให้แก่มนุษย์ไปอีกหลายร้อยปีโดยที่มนุษย์ไม่รู้ตัว แต่ต่อมาคงจะมีสักคราวหนึ่งที่มนุษย์พลัดเข้าไปพักแรมในที่ที่ฝูงหมาตามเข้าไปไม่ถึง คืนนั้นมนุษย์คงทั้งเงียบเหงาและวังเวง เกรงกลัวภัยต่างๆ ไม่เป็นอันหลับอันนอนกัน คุณของหมาปรากฏขึ้นในใจมนุษย์
ต่อมากลับมานอนค้างในที่ที่หมาตามถึงก็อาจมีมนุษย์คนใดคนหนึ่งโยนเศษอาหาร เช่น กระดูกสัตว์ หรือหนังสัตว์ ออกไปนอกวง หมาก็จะเข้ามากินและเข้าใกล้มนุษย์อีกนิดหนึ่ง
มนุษย์คนที่โยนเศษอาหารไปให้หมากินเป็นคนแรกนั้นมีความสำคัญต่อมนุษยชาติเท่ากับคนที่โยนดาวเทียมขึ้นไปบนท้องฟ้าเป็นคนแรก เพราะมนุษย์คนนั้นได้เป็นผู้เริ่มยุคใหม่ให้แก่มนุษย์...คือยุคเลี้ยงสัตว์
ส่วนมนุษย์ที่โยนดาวเทียมขึ้นไปคนแรกจะเป็นผู้เริ่มยุคอะไรขึ้นก็ต้องดูกันไปก่อน
จากขณะนั้นเป็นต้นมา หมาก็ได้ลิ้มรสเนื้อสัตว์ใหญ่...ซึ่งหมาไม่เคยกินเพราะเคยแต่จับสัตว์เล็กๆ น้อยๆ กินเป็นอาหาร
เมื่อได้รับอาหารจากมนุษย์ หมาก็คุ้นเคยเข้าใกล้ชิดยิ่งขึ้นทุกวัน
หมาบางตัวออกตามมนุษย์ไปเมื่อมนุษย์ออกล่าสัตว์ในเวลากลางวัน ความเกรงกลัวสัตว์ใหญ่ที่หมาเคยมีมาแต่ก่อนนั้นก็ลดน้อยลงเพราะได้เคยกินเนื้อหนังและกระดูกของสัตว์ใหญ่เสียแล้ว ได้กลิ่นสัตว์ใหญ่อยู่ทางไหน หมาก็ออกตาม บางทีก็ออกหน้ามนุษย์ไป
ฝ่ายมนุษย์นั้นอายตนะทางกลิ่นสู้หมาไม่ได้ ฉะนั้นจึงต้องล่าสัตว์ด้วยตา คือเห็นตัวสัตว์ก็วิ่งตามไปหรือแกะรอยสัตว์ บางครั้งสัตว์ที่ถูกล่านั้นทำอุบายวิ่งย้อนรอยแล้วไปหลบซ่อนเสียในพง มนุษย์ก็จนปัญญา แกะรอยไม่ถูกเพราะรอยหายไป
เราต้องไม่ลืมว่า มนุษย์สมัยนั้นยังไม่เป็นนักนิยมไพร แต่เป็นพรานเฉยๆ ความไหวพริบจึงยังน้อย ส่วนหมานั้นล่าสัตว์ด้วยกลิ่นเพราะจมูกไวกว่ามนุษย์ สัตว์จะหลบไปอยู่ทางไหน หมาก็สะกดกลิ่นไปถึงตัวจนได้ พอถึงแล้วก็เข้ารุมเห่าส่งเสียง ทำให้มนุษย์ตามไปถูก ฝ่ายสัตว์ใหญ่ที่ถูกหมาล้อมเห่าอยู่นั้นก็มัวเป็นกังวลแต่เรื่องหมา ลืมมนุษย์ผู้เป็นภัยอันแท้จริงต่อตนไปเสีย มนุษย์จึงเข้าถึงสัตว์ที่ถูกล่าและฆ่าฟันให้ตายได้โดยง่าย
เมื่อฆ่าสัตว์ตายแล้ว มนุษย์ก็คงแล่เอาแต่เนื้อกลับมากิน ไม่หามเอาไปทั้งตัวให้เปลืองแรง ตับไตไส้พุงของสัตว์และกระดูกตลอดจนเศษเนื้อนั้น หมาก็คงได้กินทุกทีไป เป็นกำลังใจให้ออกล่าสัตว์กับมนุษย์ เพราะเมื่อมีมนุษย์เป็นกำลัง หมาก็ได้กินอาหารมากกว่าที่เคยมา
ฝ่ายมนุษย์ก็จะต้องเห็นประโยชน์ของหมายิ่งขึ้น เพราะนอกจากหมาจะเป็นยามกลางคืนให้ตนได้หลับนอนอย่างเป็นสุขแล้ว การล่าสัตว์ในเวลากลางวันโดยมีหมาตามไปด้วยยังทำให้มนุษย์ล่าสัตว์ได้แน่นอนโดยไม่ค่อยพลาด และมีอาหารกินเต็มอัตรา ไม่ต้องอดบ้างอิ่มบ้างอย่างแต่ก่อน
อนึ่ง หมานั้นเป็นสัตว์ฝูงและเคยมีความภักดีต่อหมาด้วยกันซึ่งเป็นจ่าฝูง ต่อมาออกล่าสัตว์กับมนุษย์ก็บังเกิดความเลื่อมใสในอำนาจของมนุษย์ เริ่มเห็นมนุษย์เป็นจ่าฝูงไป ความภักดีก็เกิดขึ้นและยังมีอยู่ต่อมาจนทุกวันนี้
อีกหลายพันปีต่อมา เมื่อมนุษย์ปลูกเรือนอยู่กลางทะเลสาบนั้น หมาได้ขึ้นมาอยู่บนเรือนด้วยเสียแล้ว หลักฐานที่ค้นพบนั้นยืนยันแน่นอน
เหตุที่หมากับมนุษย์ร่วมหอกันได้ถึงเพียงนี้เห็นจะต้องซัดเด็ก เพราะเด็กนั้นลงเห็นลูกตัวอะไรใกล้ๆ บ้าน เป็นต้องเก็บเอามาเล่นเอามาเลี้ยงเสมอไป ห้ามไม่ได้ ลูกหมาที่โตขึ้นในบ้านคนก็คงจะอยู่และออกลูกหลานต่อไป
หมาทุกชนิดที่คนเลี้ยงอยู่ทุกวันนี้ หากมิใช่หมาล่าสัตว์ก็เป็นหมาเฝ้าบ้าน หมาไทยจะทำหน้าที่อย่างไรก็แล้วแต่ภูมิประเทศ หากอยู่ไร่อยู่นาก็เฝ้าบ้าน หากอยู่ในบ้านเมืองก็ช่วยเก็บขยะ หากอยู่ป่าอยู่เขาก็ล่าสัตว์
--------------------------------------------------------------------------
ที่มา : หนังสือ "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับคุณๆ สี่ขา" โดย วิลาศ มณีวัต