เปิดคำพิพากษา !!! ตา-ยายเก็บเห็ด โยงเครือข่ายมอดไม้บุกรุกตัดไม้ป่าสงวน ปรุงแต่งหลักฐานใหม่ ให้ตนเองพ้นผิด

ติดตามรายละเอียด deeps.tnews.co.th

เปิดคำพิพากษา
          ศาลฎีกาอ่านคำพิพากษา ที่ 446/2560 ตามที่จำเลย ประกอบด้วย นายอุดม ศิริสอน จำเลยที่ 1 และนางแดง ศิริสอน จำเลยที่ 3 ยื่นฎีกาคัดค้าน ต่อความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ , ความผิดต่อพระราชบัญญัติป่าสงวน ว่าไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้อง ใน 3 ประเด็นสำคัญ

1.โดยอ้างว่าจำเลยหลงเชื่อบุคคลภายนอกให้รับสารภาพ และจำเลยที่ 1 อ้างว่าตนเองเคยประสบอุบัติเหตุ มีอาการลมออกหูและประสาทไม่ดีพูดจากรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง 2.การดำเนินการสอบสวนของพนักงานสอบสวนไม่ชอบเพราะไม่ได้แจ้งพฤติการณ์และรายละเอียดในการกระทำผิดตามฟ้องให้จำเลยทราบ 3.ประการสุดท้ายฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษ
          หลังจากศาลวินิจฉัยตามฎีกา กรณี อ้างว่าจำเลยหลงเชื่อบุคคลภายนอกให้รับสารภาพ และจำเลยที่ 1 อ้างว่าตนเองเคยประสบอุบัติเหตุ มีอาการลมออกหูและประสาทไม่ดีพูดจารู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง นั้นฟังไม่ขึ้นเพราะคำให้การเป็นการขัดแย้งกันหลังจากที่ศาลได้ทำการสืบพินิจจำเลย และการดำเนินการสอบสวนของพนักงานสอบสวนไม่ชอบเพราะไม่ได้แจ้งพฤติการณ์และรายละเอียดในการกระทำผิดตามฟ้องให้จำเลยทราบ โจทก์ก็ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยนั้น
          กรณีดังกล่าวปรากฏว่า พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหาตามฟ้องให้จำเลยทั้งสองทราบโดยครบถ้วน
          เพียงแต่ไม่ปรากฏรายละเอียดเกี่ยวกับการกระทำมากเท่ากับที่บรรยายในฟ้อง ซึ่งจำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธอันแสดงว่าจำเลยทั้งสองเข้าใจ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองได้ ฎีกาของจำเลยข้อนี้จึงฟังไม่ขึ้น
          ส่วนประการสุดท้ายฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษ ตามรายงานสืบเสาะและพินิจจำเลยทั้งสอง สำนวนการสอบสวนที่ศาลฎีกาเรียกมาจากโจทก์เพื่อประกอบการพิจารณาได้ความว่า ในวันเกิดเหตุคณะเจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันรักษาป่าร่วมกันออกตรวจปราบปรามผู้กระทำความผิดกฏหมายเกี่ยวกับป่าไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ พบกลุ่มบุคคล 3-4 คน กำลังช่วยกันตัดไม้ใช้มีดแผ้วถางขนาดเล็กและตัดโค่นไม้สักล้มลงจำนวนมาก
                    เมื่อพบเจ้าหน้าที่จึงได้วิ่งหนี ปรากฏหลักฐานการตัดไม้เป็นแปลงปลูกไม้สวนป่า ปี 2527,2531,2532,2536 มีการตัดโค่นไม้สักกับไม้กระยาเลย ขนาดโตประมาณ 30 ถึง 90 ซม. อายุประมาณ 15 ถึง 20 ปี ที่กำลังโต เป็นการกระทำความผิดของกลุ่มบุคคลหลายฝ่ายร่วมกันเป็นขบวนการลักลอบตัดไม้ โดยไม่เกรงกลัวกฎหมายบ้านเมือง โดยจำเลยทั้งสองร่วมเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการดังกล่าว ตามพฤติกรรมแห่งคดีเชื่อได้ว่าบุคคลที่เป็นกลุ่มนายทุนมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องในการกระทำความผิดตามฟ้องโดยตรง และยังมีการติดตามเพื่อขยายผล
          คงมีแต่จำเลยทั้งสองเท่านั้นยอมเข้ามอบตัวเพื่อให้ดำเนินคดีต่อไปและสมัครใจรับสารภาพตามฟ้อง กรณีมีเหตุผลสมควรให้กำหนดโทษที่ลงแก่จำเลยทั้งสองให้น้อยลงเพื่อให้เหมาะแก่รูปคดี แต่ตามพฤติการกระทำความผิดของจำเลยทั้งสองส่งผลกระทบต่อสภาพความสมดุลของระบบนิเวศน์ทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยากแก่การฟื้นฟูให้กลับมาคืนดีดังเดิมส่งผลกระทบต่อสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนโดยรวมถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรง กรณีจึงไม่มีเหตุที่จะรอการลงโทษจำคุกแก่จำเลยทั้งสอง ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังขึ้นบางส่วน
          อนึ่งระหว่างพิจาณาของศาลฎีกา ได้มีประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ฉบับที่ 106/2557 เรื่องแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยป่าไม้ แต่กฎหมายที่แก้ไขใหม่ไม่เป็นคุณแก่จำเลยทั้งสอง จึงต้องใช้กฏหมายเดิม ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดบังคับแก่จำเลย

พิพากษาแก้เป็นว่า ฐานร่วมกันทำไม้สักซึ่งเป็นไม้หวงห้ามโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกคนละ 4 ปี ฐานร่วมกันมีไม้สักซึ่งเป็นไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูปไว้ในครอบครอง จำคุกคนละ 6 ปี เมื่อลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสอบคนละ 5 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4