เรื่องไม่ลับ..ทำไม "นางรำในวังต้องทาหน้าขาว ปากแดง" ความเชื่อโบราณที่สืบต่อกันมา น่าฉงน สนใจยิ่งนัก???

ติดตามเรื่องราวดีๆได้ที่ www.tnews.co.th

เชื่อว่าหลายคนที่เคยดูหนัง หรือ ละคร ที่มีนางรำในพระราชวัง จะต้องเคยเห็นนางรำจะต้องทาหน้าให้ขาว ปากให้แดง และบางคนอาจจะสงสัยว่าทำไมต้องทาแบบนั้น เรื่องจริงก็ต้องทาแบบนี้จริงๆหรอ วันนี้เรามีบทความเกี่ยวกับนางรำในพระราชวังในประวัติศาสตร์มาให้ได้อ่านกันลองดูซิว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไร

ทางด้านเพจ “จับเข่าเล่าประวัติศาสตร์” ได้เคยแชร์ความรู้เอาไว้ว่า สมัยก่อนที่ผู้หญิงจะเข้าถวายตัวต่อพระมหากษัตริย์จะต้องทาหน้าขาวก็เพราะว่าคนสมัยก่อนมีความเชื่อว่าพระมหากษัตริย์เปรียบดั่งองค์สมมติเทพ ซึ่งก็คือพระนารายณ์ที่อวตารลงมาบนโลกมนุษย์

เรื่องไม่ลับ..ทำไม "นางรำในวังต้องทาหน้าขาว ปากแดง" ความเชื่อโบราณที่สืบต่อกันมา น่าฉงน สนใจยิ่งนัก???

ดังนั้นเหล่าสตรีที่จะมาเป็นมเหสี สนม หรือนางใน จึงเปรียบเสมือนนางฟ้าเทพธิดาต่างๆ บนสรวงสวรรค์ตามลงมาคอนปรนนิบัติรับใช้ ซึ่งเหล่านางฟ้าเทพธิดาก็ได้รับการพรรณาว่ามีผิวขาวนวล คิ้วโก่งดั่งคันศร ผมสีดำขลับ ปากแดงดั่งสีชาด ตามความเชื่อจากคัมภีร์ไตรภูมิพระร่วงที่มีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยจะเห็นได้จากภาพจิตรกรรมฝาผนังวัดวาอารามต่างๆ เหล่านางฟ้าจะมีหน้าตาแนวเดียวกันหมดนั่นเอง

เรื่องไม่ลับ..ทำไม "นางรำในวังต้องทาหน้าขาว ปากแดง" ความเชื่อโบราณที่สืบต่อกันมา น่าฉงน สนใจยิ่งนัก???

เรื่องไม่ลับ..ทำไม "นางรำในวังต้องทาหน้าขาว ปากแดง" ความเชื่อโบราณที่สืบต่อกันมา น่าฉงน สนใจยิ่งนัก???

อนึ่งนางรำหลวง ก็ถือเป็นหญิงสาวชาววัง การแสดงรำต่อหน้าพระพักตร์พระมหากษัตริย์ จึงต้องทาหน้าขาวให้งดงามราวนางฟ้านางสวรรค์ส่วน”การแต่งหน้า” ของนางรำสมัยก่อนนั้น จะแต่งหน้าโดยใช้น้ำมันมะพร้าวชะโลมทาให้ทั่วใบหน้าทับด้วยแป้งฝุ่นจีนที่เป็นก้อน ขูดให้เป็นผงแล้วนำมาผสมกับน้ำสะอาดเกลี่ยทาให้ทั่ว ทาปากและทาแก้มด้วยชาดสีแดง และเขียนคิ้วด้วยมะพร้าวห้าวที่ฝนปลายแหลมเผาไฟจนดำ ก็จะมีใบหน้าที่สวยผ่อง

ด้วยเหตุนี้สตรีใดได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าให้ถวายตัวเป็นบาทบริจาแก่พระมหากษัตริย์แล้วตามโบราณราชประเพณีจึงจำเป็นต้องจัดเตรียมเครื่องแต่งตัวเครื่องประดับและที่สำคัญคือเครื่องแต่งหน้าให้ประหนึ่งว่าเป็นดั่งนางฟ้าเทพธิดา

เรื่องไม่ลับ..ทำไม "นางรำในวังต้องทาหน้าขาว ปากแดง" ความเชื่อโบราณที่สืบต่อกันมา น่าฉงน สนใจยิ่งนัก???

ขอขอบคุณท่านเจ้าของภาพ และที่มา – เพจ จับเข่าเล่าประวัติศาสตร์ แอพเกจิ – AppGeji