แตกตื่น!คลิปพญานาค แผ่พังพานปกป้องพระพุทธรูป!!(ชมคลิป) เหมือนพญามุจลินทร์นาคา ที่มาแห่งการบูชาพระปางนาคปรกเพื่อชีวิตสงบร่มเย็น!

จากที่มีคลิปเผยแพร่ จนได้รับความสนใจอย่างมากในโลกโซเชียล เมื่อวันที่ 28 พค. ที่ผ่านมา 

โดยผู้เผยแพร่ยูทูป ใช้ชื่อว่า "kung kanmanee" ระบุว่า 

เหตุการณ์มหัศจรรย์
เกิดขึ้นที่ ศรีลังกา
เมื่อฝนตกหนัก 
พญางูยักษ์ ได้เลื้อย
ออกมาจากถ้ำที่อยู่
อาศัยมาทำการ
ปกป้องพระพุทธ
ศาสนา โดยการ
ขดตัวแล้วแผ่
พังพานปกป้อง
พุทธองค์เหมือน
ในสมัยพุทธกาล
ไม่น่าเชื่อว่าในสมัย
เราจะมีโอกาได้เห็น
สาธุ สาธุ สาธุ.

ทั้งนี้ ในคลิปดังกล่าว มีตัวอักษรที่คาดว่าเป็นต้นทางจาก "sammaditthi tv Srilanka"

โดยในเวลาต่อมา ในโซเชียลก็มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า น่าจะเป็นการแสดง เพราะพระพุทธรูปตั้งอยู่เหมือนห้องแสดงที่มีไฟจากฉากหลัง 

และงูมีตาสีแดงจัดเหมือนหุ่นยนตร์มากกว่า อีกทั้ง เมื่อแผ่พังพานเสร็จเรียบร้อยก็มีผู้ชมปรบมือกัน

พร้อมกันนี้ก็มีผู้มาแสดงความเห็นไว้ที่เพจ "กลุ่มนาคา.นาคี.ศรัทธาบารมี.พ่อปู่ศรีสุทโธ.แม่ย่าศรีปทุมมา" ว่าเป็นโรงละครที่อินเดีย ซึ่งเคยลงคลิปไว้นานมาแล้ว

 

  

 

 

ทั้งนี้ ทางทีมข่าว จึงขอยกเรื่องราวของพญานาคราช ผู้อยู่ในที่มาของเหตุการณ์ในคลิปดังกล่าว ... อีกทั้งเป็นต้นกำเนิดพระปางนาคปรก 

พญานาค ตนนั้น มีนามว่า "มุจลินทร์" 

มุจลินทร์เป็นพญานาคซึ่งปรากฏในพุทธประวัติและปรากฏในพระพุทธรูป ปางนาคปรก โดยพญานาคมุจลินทร์เป็นผู้แผ่พังพานป้องพระสมณโคดมเมื่อเกิดพายุฝนเป็นเวลาเจ็ดวันขณะทรงบำเพ็ญเพียรที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์

ตำนาน องค์ท้าวพญามุจลินท์นาคราช ครั้นล่วง ๗ วันแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปประทับนั่งขัดสมาธิยังร่มไม้จิก อันมีนามว่า"มุจลินท์"อันตั้งอยู่ในทิศบูรพาหรือทิศอาคเนย์ แห่งไม้มหาโพธิ์ เสวยวิมุติสุขอยู่ ณ ที่นั้นอีก ๗ วันในกาลนั้นฝนตกพรำตลอด ๗ วัน พญานาคมีนามว่า "มุจลินท์นาคราช" มีอานุภาพมาก พำนักอยู่ที่สระโบกขรณี ใกล้ต้นมุจลินท์พฤกษ์นั้น มีความเลื่อมใสในพระศิริวิลาศ พร้อมด้วยพระรัศมีโอภาสอันงามล่วงล้ำเทพยดาทั้งหลาย จึงเข้าไปใกล้แล้วขดเข้าซึ่งขนดกาย แวดวงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ๗ รอบ และแผ่พังพานอันใหญ่ ป้องปกเบื้องบนพระเศียร มิให้ลมและฝนถูกต้องพระกายพระผู้มีพระภาคเจ้า

 

ครั้งล่วง ๗ วัน ฝนหายขาดแล้ว พญานาคก็คลายขนดจำแลงกายเป็นมานพ เข้าไปถวายอัญชลีเฉพาะพระพักตร์ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปล่งอุทานวาจาว่า

"ความสงัดเป็นสุข สำหรับบุคคลผู้มีธรรมอันเห็นแล้ว ยินดีอยู่ในที่สงัด รู้เห็นตามความเป็นจริง ความไม่เบียดเบียน คือความสำรวมในสัตว์ทั้งหลาย และความปราศจากความกำหนัด คือความล่วงกามทั้งหลายเสียได้ด้วยประการทั้งปวง เป็นสุขในโลก ความนำอัสมิมานะ คือความถือตัวออกให้หมดไปเป็นสุขอย่างยิ่ง"

 

ครั้นล่วง ๗ วันแล้ว เสด็จออกจากร่มไม้มุจลินท์ ไปยังร่มไม้เกตุ อันมีนามว่า"ราชายตนะ"อันอยู่ในทิศทักษิณ แห่งต้นมหาโพธิ์ เสวยวิมุติสุข ณ ที่นั้น สิ้น ๗ วัน เป็นอวสาน ในกาลนั้น ท้าวสักกะอมรินทราธิราช ทรงดำริว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามิได้เสวยพระกระยาหารนับแต่กาลตรัสรู้มาได้ ๔๙ วันแล้ว จึงได้เสด็จลงมาจากเทวโลก น้อมผลสมออันเป็นทิพยโอสถเข้าไปถวาย พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับผลสมอเสวย แล้วทรงสรีระกิจลงพระบังคม ทรงสำราญพระกายแล้ว เสด็จเข้าประทับยังร่มไม้ราชายตนะพฤกษ์นั้น.

 

จากตำนานดังกล่าว จึงเป็นที่มาของความเชื่อที่ว่า พระพุทธรูปปางนาคปรกนี้ ขจัดปัดเป่า คุ้มครองป้องกันภัยพิบัติ

ซึ่งโดยนัยของสัญลักษณ์แล้ว "พญานาค" เป็นสัตว์เทพ / สัตว์วิเศษ ที่มีความเกี่ยวพันกับเรื่องราวทางพุทธศาสนาอย่างแนบแน่น เชื้อสายของพญานาคบางเผ่าพันธุ์ ที่มีสัมมาทิฐิ ก็ต่างมีความเคารพเลื่อมใสศรัทธาพระพุทธเจ้า และพุทธศาสนาอย่างสูง

อีกทั้งในภาคอุษาคเนย์ ยังเชื่อว่า "พญานาค" เป็นผู้บันดาลฟ้าฝน ควบคุมลมพายุ และน้ำ การบูชาพญานาค จึงเท่ากับการบูชาให้ชีวิตประสบความสุข ร่มเย็นอุดมสมบูรณ์ รวมไปถึงการให้ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล ส่งผลไปถึงพืชผลผลิต อันเป็นสิ่งสำคัญในสังคมเกษตรกรรมอีกด้วย  

ทั้งนี้ ในเรื่องของการกลายมาเป็น พระบูชาปางประจำวันเสาร์ น่าจะเป็นคติความเชื่อที่เป็นกุศโลบาย ให้ชาวพุทธเปลี่ยนจากการบูชาเทพประจำวัน หรือ การบูชาดวงดาว มาเป็นการบูชารูปเคารพของพระพุทธเจ้าแทน อีกทั้งชาวพุทธก็จะได้ศึกษาพุทธประวัติ พร้อมสวดมนต์บูชา ตามไปด้วย ตามปางต่างๆ ที่กำหนดขึ้นมาเป็นพระพุทธรูปของปางแต่ละวัน

ซึ่งในความเชื่อทางด้านโหราศาสตร์ ดาวเสาร์ ถือเป็นดาวบาปเคราะห์ ซึ่งมีคำทำนายของโบราณจารย์กล่าวไว้ว่า "ทายทุกข์ เศร้า ทายดาวเสาร์"

อีกทั้งเป็นดาวแห่งธาตุไฟ จึงนำเอาพระพุทธปางนาคปรก มาช่วยเสริมสร้างพลังใจ เพื่อให้ชีวิตร่มเย็นเป็นสุข มีอำนาจทิพย์คุ้มครองให้แคล้วคลาดจากภัยทั้งปวง 

 

   

อ้างอิงที่มา : วิกิพีเดีย

บทความเรื่องพญานาค "ทิพย์วารี"