- 05 มิ.ย. 2560
ติดตามเรื่องราวดีๆ อีกมากมายได้ที่ http://www.tnews.co.th
คนในเมืองสุโขทัยนี้ มักทาน มักทรงศีล มักโอยทาน พ่อขุนรามคำเเหงเจ้าเมืองสุโขทัยนี้ ทั้งชาวเเม่ชาวเจ้าท่วยปั่วท่วยนาง ลูกเจ้าลูกขุน ทั้งสิ้นทั้งหลาย ทั้งผู้ชายผู้ญีง ผูงท่วยมีศรัทธาในพระพุทธศาสน ทรงศีลเมื่อพรรษาทุกคน เมื่ออกพรรษากรานกฐิน เดือนณึ่งจิ่งเเล้ว เมื่อกรานกฐิน มีพนมเบี้ย มีพนมหมาก มีพนมดอกไม้ มีหมอบนั่งหมอบโนน บริพานกฐินโอยทานเเล่ปีเเล้ญิบล้าน"
ถ้อยคำในศิลาจารึก ได้บอกเล่าถึงคนสุโขทัยว่า เป็นคนใจบุญ ให้ทาน รักษาศีล มีศรัทธาต่อพุทธศาสนา เเละสร้างวัดมากมายเพื่อถวายเป็นกุศลสืบต่อพระศาสนา นอกกำเเพงเมืองมีวัดศรีชุมที่มีความงดงาม มีมณฑปที่มีพระพุทธรูปขนาดใหญ่ประดิษฐานเป็นประธานของวัด ซึ่งต่างจากวัดอื่นๆที่โดยมากจะเป็นเจดีย์เป็นประธานของวัด สันนิฐานว่าสร้างในสมัยพ่อขุนรามคำเเหง โดยปรากฎอยู่ในศิลาจารึกหลักที่1ว่า "เบื้องตีนนอนเมืองสุโขทัยนี้ มีตลาดปสาน มีพระอจนะ มีปราสาท มีป่ามะพร้าว ป่าหมากกลาง มีไร่ มีนา มีถิ่นถาน มีบ้านใหญ่บ้านเล็ก..."
ความโดดเด่นของวัดศรีชุม คือ มีพระพุทธรูปปางมารวิชัยองค์ใหญ่ ประดิษฐานอยู่ในมณฑปรูปสี่เหลี่ยมกว้าง 32เมตร ยาว32เมตร สูง15เมตร ด้านหน้าเป็นวิหารหลวง มี่6ห้อง ชาวบ้านเรียกว่า"พระอจนะ" ว่ากันว่าเป็นพระพูดได้ด้วยมีการสร้างอุโมงค์ให้คนสามารถขึ้นด้านบนองค์พระได้ มีเรื่องเล่าว่า หากลอดเข้าอุโมงค์ด้านขวามือ จะสามารถขึ้นด้านบนองค์พระได้ เเต่หากลอดอุโมงค์ด้านซ้ายมือจะมีทางลับไปสู่ที่เมืองศรีสัชนาลัยได้ เมื่อต้องใช้งานในการสำคัญ ห็ให้คนไปอาศัยอยู่บนองค์พระ เเล้วให้เปร่งเสียงออกมาดังๆ เสียงจะกังวานอยู่ในมณฑป เมื่อผู้คนได้ยินก็นึกว่าพระพูดได้ ใช้ในการปลุกปลอบกำลังใจ หรือชำระความ คนที่ทำผิดเเล้วก็จะพูดเเต่ความจริงเเละยอมรับ สิ่งเหล่านี้ ล้วนเป็นกุศโลบายที่สำคัญในการปกครองบ้านเมืองให้สงบ ตามผนังของอุโมงค์นี้มีการเเกะสลักหินชนวนเรื่องราวชาดก550ชาติ อย่างสวยงาม ปัจจุบันได้เก็บรักษาเเละจัดเเสดงในพิพิธภัณฑสถานเเห่งชาติรามคำเเหง
สมัยพระร่วงเจ้า การสร้างวัดนั้นสร้างด้วยศรัทธา เมืองสุโขทัยนั้นรุ่งเรืองได้ด้วยพระพุทธศาสนา มีการประพฤติตนปฏิบัติธรรมเป็นจิตวิญญานของคนสุโขทัย ซึ่งเมื่อครั้งสร้างบ้านเเปลงเมืองใหม่ๆ ยังไม่มีกฎหมาย พระองค์ทรงใช้ศาสนาหรือธรรมะเป็นกฎหมายปกครองเเผ่นดิน เเผ่นดินสุโขทัยจึงเป็นเเผ่นดินธรรมราชา พระอจนะ หลวงพ่อโต ผู้ไม่หวั่นไหวซึ่งควรบูชา
หลวงพ่อโตเป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัยองค์ใหญ่ชื่อ "พระอจนะ" เเปลว่า ผู้ไม่หวั่นไหว สูง15เมตร หน้าตักกว้าง11.30เมตร ด้วยเป็นองค์พระที่สูงใหญ่ เเละมีลักษณะงดงามเปี่ยมด้วยเมตตาธรรม ส่วนคำว่าพระอจนะในภาษาบาลีเเปลว่า สิ่งที่ควรบูชา
ชาวบ้านในสมัยโบราณเมื่อเสร็จงานไร่งานนา พากันต้อนวัวต้อนควายไปเลี้ยงเเละเข้าไปพักในเขตวัด เล่ากันว่าเคยขึ้นไปนอนบนนิ้วมือเรียงกันคนละนิ้วยังไม่รู้สึกเเน่นหรืออึดอัด ซึ่งเเสดงให้เห็นถึงความใหญ่โต เเละความใกล้ชิดผูกพันระหว่างคนกับพระ องค์หลวงพ่อโตประดิษฐานอยู่ในมณฑป ในผนังมณฑปก่อช่องเจาะไว้เป็นอุโมงค์ เเละมีทางเดินขึ้นไปด้านบนของมณฑปในทางเดินมีช่องอากาศขนาดใหญ่ สามารถมองออกมายังองค์พระได้ เมื่อเข้าไปส่งเสียงในช่องนี้ จะเกิดเสียงก้องกังวานบนเพดาน
การสร้างพระอจนะ นั้นนับเป็นความเฉลียวฉลาดของกษัตริย์ของราชวงศ์พระร่วงในการปลุกปลอบให้กำลังใจทหารหาญเเละด้านการใช้จิตวิทยาในการปกครองบ้านเมืองให้สงบสุข ด้วยด้านข้างองค์พระอจนะมีช่องเล็กๆ สำหรับให้คนลอดเข้าไปเเละพูดเพื่อสื่อความหมาย คนในวิหารจะได้ยินกันทั่วกันจะต้องนึกว่าพระอจนะพูดได้ เเละมีเสียงดังกังวานน่าเกรงขาม
ตำนานพระพูดได้ นั้นมีอยู่ว่า สมัยอยุธยา หรือประมาณพุทธศักราช2127 หลังจากที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้ประกาศอิสรภาพที่เมืองเเครง เเล้วหัวเมืองต่างๆล้วนยุติการส่งส่วยให้เเก่พม่า ยกเว้นเมืองเชลียงหรือเมืองสวรรคโลกที่ยังไม่เห็นด้วยกับพระบรมราชโองการ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชจึงยกทัพมาเพื่อหวังรวบรวมคนไทยให้เป็นปึกเเผ่น ระหว่างทางได้เสด็จมาพักทัพที่วัดศรีชุม เเต่ด้วยการรบในครั้งนั้นเป็นการสู้รบระหว่างคนสายเลือดไทยด้วยกัน บรรดาเหล่าทหารเเละเเม่ทัพนายกองทั้งหลายจึงไม่มีเเรงจูงใจในการสู้รบ สมเด็จพระนเรศวรจึงได้ออกอุบายเพื่อสร้างขวัญเเละกำลังใจให้เเก่ทหารโดยการให้ทหารคนหนึ่งปีนบันไดขึ้นไปด้านหลังองค์พระเเละกล่าวให้กำลังใจเเก่เหล่าทหารเหล่านั้น
ที่มาจาก : Kawee Suksomwat
ขอบคุณภาพจาก : Weeman