- 11 ก.ค. 2560
เรือหลวงจักรีนฤเบศร ตลอดช่วงอายุประจำการ 19 ปี ได้ออกช่วยเหลือประชาชน ทั้งการกู้ภัยทางทะเล การเป็นฐานทัพและสนามบินเฮลิคอปเตอร์กลางทะเล
เรือหลวงจักรีนฤเบศร ตลอดช่วงอายุประจำการ 19 ปี ได้ออกช่วยเหลือประชาชน ทั้งการกู้ภัยทางทะเล การเป็นฐานทัพและสนามบินเฮลิคอปเตอร์กลางทะเล เป็นฐานปฏิบัติการของชุดเคลื่อนที่และอากาศยานในการนำสิ่งของแจกจ่ายให้กับประชาชนตามหมู่เกาะและพื้นที่ที่ไม่สามารถเข้าถึงทางบกได้ รวมทั้งสิ้น 6 ครั้ง ช่วยเหลือและบรรเทาสาธารณะภัยให้กับประชาชนมากมายนับไม่ถ้วน
20 ปี ของเรือหลวงจักรีนฤเบศร ไม่ใช่แค่ ใช้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว ถ่ายรูป ขายของที่ระลึก โกดังเก็บของ ยังไม่เคยบรรทุกเครื่องบินไปรบที่ไหน แบบที่ใครต่อใครกล่าวหา ภารกิจของเรือหลวงลำนี้มีมากมาย แต่หลายคนนั้นไม่เคยทราบ ซึ่งจากสืบค้นข้อมูล สำนักข่าวทีนิวส์ ได้พบข้อมูลอันน่าสนใจ ที่มีการนำเสนอโดยคุณจักรกฤษณ์ จิตรกุล ที่เขียนเอาไว้ในวันที่ 10 กรกฎาคม 2559 เอาไว้ได้อย่างครบถ้วน สมบูรณ์ จึงได้ขอนำมาให้ท่านผู้อ่านได้ภาคภูมิใจกับภาระกิจของเรือหลวงลำนี้
เรือลำนี้สั่งซื้อในปี 2535 ราคา 7,100,000,000 บาท (เจ็ดพันหนึ่งร้อยล้านบาท) ประจำการในปี 2540 เรือหลวง จักรีนฤเบศร/HTMS Chakri Naruebet (CVH-911) เป็น เรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์และเครื่องบินขึ้นลงทางดิ่ง ที่ใช้แบบจากเรือบรรทุกเครื่องบินเบาชั้น Principe de Asturias ของกองทัพเรือสเปน โดยสั่งต่อเมื่อวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2535 ที่ อู่ต่อเรือบาซาน เมืองเฟร์รอล ประเทศสเปน ด้วยงบประมาณ 7,100 ล้านบาท เริ่มวางกระดูกงูเรือในปี 2537 ประกอบเสร็จสิ้นและปล่อยลงน้ำในปี 2539 ก่อนเดินทางมาเข้าประจำการในกองทัพเรือไทย เมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2540 ขึ้นระวางเป็นเรือธงและเรือบรรทุกเครื่องบินลำแรกและลำเดียวของกองทัพเรือไทย และยังเป็นเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ขนาดใหญ่ลำแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีระวางขับน้ำ 11,544 ตัน สามารถทนต่อคลื่นลมรุนแรงได้ในระดับ 9 ซึ่งคลื่นมีความสูง 13.8 เมตร สิริรวมอายุประจำการทั้งสิ้น 19 ปี (ถึงปี 2559)
เรือหลวงจักรีนฤเบศร ตลอดช่วงอายุประจำการ 19 ปี ได้ออกช่วยเหลือประชาชน ทั้งการกู้ภัยทางทะเล การเป็นฐานทัพและสนามบินเฮลิคอปเตอร์กลางทะเล เป็นฐานปฏิบัติการของชุดเคลื่อนที่และอากาศยานในการนำสิ่งของแจกจ่ายให้กับประชาชนตามหมู่เกาะและพื้นที่ที่ไม่สามารถเข้าถึงทางบกได้ รวมทั้งสิ้น 6 ครั้ง ช่วยเหลือและบรรเทาสาธารณะภัยให้กับประชาชนมากมายนับไม่ถ้วน
รวมไปถึงเคยเกือบได้ส่งกำลังออกรบในต่างประเทศถึง 1 ครั้ง แต่ก็ไม่มีการใช้กำลังใดๆจน เครื่องบินขับไล่โจมตีแบบ AV-8S ถูกปลดประจำการไปเนื่องจากเก่าและขาดอะไหล่
หากจะกล่าวว่า เรือกู้ภัยจริงๆมีราคาถูกกว่านี้ ทำไมไม่ซื้อเรือกู้ภัยมา... เราต้องปรับมุมมองกันใหม่เรือจักรีนฤเบศร มิใช่เพียงเป็นเรือกู้ภัย และ เป็นมากกว่าแค่ Carrier ที่มีหน้าที่บรรทุกเครื่องบินไปบอมท์ประเทศอื่น
ทุกวันนี้ มันคือ ฐานบัญชาการลอยน้ำ สนามบินเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำและกู้ภัยทางทะเล เป็นเรือพยาบาล(มีห้องผ่าตัดและสามารถรองรับผู้ประสบภัยได้ถึง 26 คน) เป็นศูนย์ช่วยเหลือภัยพิบัติทางทะเลและหมู่เกาะ เป็นฐานเรดาห์ลอยน้ำ ภายใน Platform เดียวกัน ที่สามารถฝ่า คลื่นสูง 13 เมตรที่ Sea State 9 ได้ ทุกวันนี้ เรือในกองทัพเรือน้อยแบบมากที่จะฝ่าคลื่นสูงได้ขนาดนั้นแม้แต่เรือหลวงอ่างทองที่จัดซื้อจากสิงคโปร์ เป็นเรือยกพลขึ้นบกชั้น Endurance Class สามารถรองรับเฮลิคอปเตอร์หนักได้ถึง 2 ลำ อนุมัติจัดซื้อเมื่อปี 2551 ราคา 4,944 ล้านบาท ก็ยังไม่สามารถฝ่าคลื่นสูงดังเช่นที่ จักรีนฤเบศรทำได้
หากถามว่า เหตุใด กองทัพเรือจึงจำเป็นต้องมีเรือที่ฝ่าคลื่นลมแรงขนาดนั้นได้? ต้องย้อนกลับไปดูที่มาที่ไปของโครงการจัดหาเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ลำนี้กัน
ย้อนกลับไปในปี พ.ศ. 2532 ได้เกิดพายุไต้ฝุ่นเกย์ในอ่าวไทยบริเวณจังหวัดชุมพร กองทัพเรือประสบปัญหา คือเรือขนาดใหญ่ที่สุดที่กองทัพเรือมีอยู่ขณะนั้นคือ ร.ล.สุรินทร์ ซึ่งมีระวางขับน้ำประมาณ 4500 ตัน โดยสามารถจอด ฮ.Bell 212 บนดาดฟ้าได้1ลำ ไม่มีโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ และมีความทนทะเลต่ำไม่สามารถทนสภาพทะเลที่มีคลื่นสูงได้ ทำให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยกระทำได้ด้วยความยากลำบาก
กองทัพเรือจึงมีแนวคิดในการมีเรือขนาดใหญ่พร้อมอุปกรณ์ทันสมัยจะสามารถใช้ในการค้นหาและให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยในทะเลได้อย่างรวดเร็วและทันการ และหากว่ามีเฮลิคอปเตอร์ประจำการบนเรือจะช่วยขยายพื้นที่ในการลาดตระเวนและระยะเวลาในการปฏิบัติการในทะเลได้เป็นเวลานานและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ประกอบกับในช่วงนั้น เศรษฐกิจของประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น สภาพการเงินดี มีงบประมาณมาก ทางกองทัพเรือจึงมีแนวคิดที่จะพัฒนากำลังทางเรือให้ทันสมัย และมีขีดความสามารถในการออกปฏิบัติการในทะเลเปิดเป็น Blue Navy พอดิบพอดี
ระหว่างนั้นจึงมีการจัดซื้อ เรือฟริเกตใหม่จำนวนมาก โดยภายหลังได้เข้าประจำการในกองทัพเรือ ได้แก่เรือชุดเจ้าพระยา 4 ลำ (2ลำหลังมีลานจอดเฮลิคอปเตอร์) เรือชุดนเรศวร 2ลำ (มีลานจอดและโรงเก็บ เดิมทีสนใจจัดหาฮ.SH-2G Super Sea sprite มือสอง แต่หลายปีต่อมาจัดหาฮ.Super Lynx 300 ซึ่งสมรรถนะสูงกว่ามาใช้งานแทน) และสุดท้ายเรือชุดพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก 2 ลำ (เรือฟริเกตชั้นKnoxมือสองจากสหรัฐ)
แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอ เพราะ กองทัพเรือจะมีเรือที่สามารถเก็บฮ.ขนาด 7 ตันได้เพียง2ลำ (คือเรือชุดนเรศวร ในขณะนั้นยังไม่มีโครงการจัดหาเรือพุทธฯ) และไม่มีเรือที่สามารถรองรับฮ.ขนาด 10 ตันได้เลย....
กองทัพเรือ จึงได้พิจารณาแบบเรือจัดหาเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ 2 แบบจาก 2 บริษัท ได้แก่ Bremer Vulkan และ Fincantieri โดยแบบเรือที่ได้รับการคัดเลือกในครั้งแรกนั้นคือ เรือบัญชาการสนับสนุนการยกพลขึ้นบก ขนาดระวาง 7,800 ตันแบบ HC600PT ของบริษัท Bremer Vulkan เยอรมนี สัญญามีมูลค่า 325 ล้านดอยช์มาร์กในขณะนั้น แต่ได้ทำการยกเลิกสัญญาเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2534 เนื่องจากการอนุมัติส่งออกอาวุธของรัฐบาลเยอรมันนั้นล่าช้าไป 6 เดือนแล้ว และยังไม่มีทีท่าว่าจะอนุมัติเมื่อไหร่...
ในขณะเดียวกับ แบบเรือยกพลขึ้นบกอู่ลอย(LPD)ชั้น San Giorgio จากอิตาลีที่เป็นแบบเรือสำรองนั้น...ไม่ได้รับการจัดหา เนื่องจากทางบริษัทถอนตัวไป เพราะรัฐบาลไม่สามารถให้เงินกู้กับ Fincantieri ไปพร้อมๆกับ Alenia Aeronautica ซึ่งขณะนั้นเสนอเครื่องบินโจมตี AMX ให้กับกองทัพอากาศไทยได้
กองทัพเรือจึงหันไปหาอู่ Bazan ของสเปน โดยได้จัดหาเรือบรรทุกเครื่องบินเบา ระวางขับน้ำ11500ตัน ซึ่งใช้พื้นฐานมาจากเรือบรรทุกเครื่องบินเบา Principe de Asturias เรือธงของกองทัพเรือสเปนในขณะนั้น คณะรัฐมนตรีของไทยได้มีมติเมื่อ 17 มีนาคม พ.ศ. 2535 อนุมัติให้กองทัพเรือว่าจ้างสร้างเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ในลักษณะรัฐบาลต่อรัฐบาล ลงนามโดยรัฐบาลไทยและรัฐบาลสเปนในวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2535 เป็นเงิน 7,100 ล้านบาท
เรือหลวงจักรีนฤเบศรเป็นเรือบรรทุกอากาศยานขนาดเล็กที่สุดในโลก เล็กกว่า Principe de Asturias ต้นแบบของเธอเล็กน้อย ซึ่งเดิมที พัฒนามาจากแบบแผนเรือคุมทะเล (Sea Control Ship - SCS) ของกองทัพเรือสหรัฐ โดยลดระวางขับน้ำลง มีระวางขับน้ำเต็มที่ 11,544 ตัน จาก 16,700 ตัน ของเรือพี่ของเธอ เรือหลวงจักรีนฤเบศรมีความเร็วสูงสุด 27 นอต แม้ว่าเรือจะทำความเร็วได้ที่ 17.2 นอตเมื่อใช้เครื่องยนต์ดีเซลเพียงอย่างเดียวเรือมีระยะทำการ 10,000 ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 12 นอต
โดยกองทัพเรือไทยได้รับเครื่องบินขึ้นลงทางดิ่งแบบ Hawker Siddeley Matador Harrier แบบ AV-8S (ที่นั่งเดี่ยว) และ TAV-8S (สองที่นั่ง) มือสองจากกองทัพเรือสเปนเข้าประจำการจำนวน 9 เครื่อง ภายในวงเงินงบประมาณ ซึ่งนับได้ว่าเป็นการจัดซื้อเรือที่คุ้มค่าที่สุดในของกองทัพเรือในขณะนั้น ด้วยเรือที่แลกมาด้วยคุณภาพในราคาค่อนข้างถูก แม้มีค่าใช้จ่ายสูงเนื่องจากเป็นเรือใหญ่ และประสบปัญหาเกี่ยวกับอากาศยานปีกตรึงแบบ Harrier ที่ต้องปลดประจำการลงหลังประจำการได้เพียง 10 ปี เนื่องจากประสบปัญหาในการจัดซื้ออะไหล่ที่มีราคาแพง และไม่คุ้มค่า รวมไปถึงช่วง 10 ปี หลังวิกฤติการณ์ต้มยำกุ้งปี 2540 ยังทำให้กองทัพเรือไม่มีงบประมาณมากเพียงพอที่จะจัดหา เครื่องบินขึ้นลงทางดิ่งแบบ AV-8B Harrier II มาประจำการทดแทนได้ จึงเป็นอันยุติบทบาทอากาศยานปีกตรึงบนเรือหลวงจักรีนฤเบศรไปนับแต่นั้น
นอกจากอากาศยานปีกตรึงแล้ว กำลังหลักของจักรีนฤเบศรคือ เฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำแบบ S-70B Seahawk จำนวน 6 ลำ และเฮลิคอปเตอร์ใช้งานทั่วไปแบบ MH-60S Knighthawk ที่จัดซื้อมาภายหลังอีกจำนวน 2 เครื่อง
โดยจักรีนฤเบศรสามารถรองรับเฮลิคอปเตอร์ขนาด 10 ตัน ได้สูงสุดถึง 14 เครื่อง
นอกจากนี้ ระบบอาวุธป้องกันตัวของจักรีนฤเบศรคือ ปืนกล 20 มม. จำนวน 4 แท่น พร้อมแท่นยิงจรวด SADRAL สำหรับยิงจรวดต่อสู้อากาศยานระยะใกล้แบบ Mistral ระยะยิง 6 กม. จำนวน 3 แท่น
นอกจากนี้ ในปี 2555 เรือหลวงจักรีนฤเบศร ยังได้รับการอัพเกรดระบบควบคุมและบังคับบัญชา (Command and Control System) ด้วยการติดตั้งระบบควบคุมและบังคับบัญชารุ่น 9LV Mk.4 รวมถึงระบบเครือข่ายการส่งข้อมูลทางยุทธวิธีหรือ Datalink เพื่อเชื่อมต่อเรือหลวงจักรีนฤเบศรเข้ากับเครื่องบินขับไล่แบบ Gripen และเครื่องบินแจ้งเตือนล่วงหน้าแบบ Saab 340 AEW Erieye ของกองทัพอากาศ และการติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์รุ่น Sea Giraffe AMB บนเรือหลวงจักรีนฤเบศร ซึ่งแล้วเสร็จในปี 2558 ทำให้จักรีนฤเบศร กลายเป็นเรือธงที่มีความพร้อมรบในการสื่อสาร การเป็นศูนย์บัญชาการ และการประสานงานระหว่างกองทัพเรือและกองทัพอากาศอย่างเป็นรูปธรรม
นอกจากนี้ ในการฝึกใหญ่ การฝึกกองทัพเรือประจำปี 2559 กองทัพเรือ ยังได้ส่งเรือหลวงจักรีนฤเบศร พร้อมเรือฟริเกตชุด หลวงนเรเศวร ทั้ง 2 ลำคือ นเรศวร(421) และ ตากสิน(422) ที่ได้รับการปรับปรุงระบบควบคุมและบังคับบัญชาแบบ 9LV และระบบควบคุมการยิงพร้อมอาวุธใหม่ ทั้ง 3 ลำ เข้าทำการฝึกปราบเรือดำน้ำกับกองทัพเรือสหรัฐในระหว่างการฝึก Guardian Sea 2016 บริเวณทะเลอันดามัน โดยจักรีนฤเบศร เป็นฐานบัญชาการให้กับเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำแบบ S-70B Seahawk เข้าทำการค้นหาเป้าเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ USS San Francisco ข้าศึกสมมุติ พร้อมใช้อาวุธทำลายเป้าหมาย ซึ่งผลรวมการฝึกออกมาดีมาก
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกปฏิบัติการระยะไกลนับจากออกจากท่า เดินทางสู่อันดามัน ก่อนเดินทางกลับมายังอ่าวไทย และทำการฝึกประลองยุทธร่วมกับทัพเรือภาคที่ 2 ในบริเวณอ่าวไทยตอนล่าง
และทำการฝึกบูรณาการกับกองทัพอากาศในบริเวณอ่าวไทยตอนบน
โดยการฝึกหลัก คือการทดสอบการใช้ระบบ Datalink ประสานการปฏิบัติการซึ่งกันระหว่างเรือรบและอากาศยานของทั้ง 2 เหล่าทัพ โดยการฝึก ประกอบด้วย การลาดตระเวณรบหน้ากองเรือ, การสกัดกั้นทางอากาศ ของกองทัพอากาศ และการฝึก การควบคุมเครื่องบิน Gripen โจมตีเรือผิวน้ำฝ่ายตรงข้ามและการป้องกันภัยทางอากาศของกองเรือ ซึ่งผลรวมการฝึกออกมาได้ดีและมีประสิทธิภาพ
สุดท้ายนี้ เรือจักรีนฤเบศร มิใช่เพียงเรือบรรทุกเครื่องบินที่ล้มเหลวในการไม่มีเครื่องบินประจำการ หรือเรือกู้ภัยที่ราคาแพงเกินความจำเป็น
แต่เธอ คือสิ่งที่ผสมผสานระหว่างทั้ง 2 สิ่ง และเธอเป็นได้มากกว่านั้น แม้จะมีขีดจำกัดทางด้านค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติการที่สูงอยู่บ้าง แต่ด้วยสมรรถนะและประสิทธิภาพ เมื่อถึงเวลาที่ต้องเจอกับสิ่งที่เธอถูกสร้างมาให้เป็น เชื่อเถอะ ว่าเธอทำได้ดีกว่า การเป็นแค่อย่างใดอย่างหนึ่ง
เธอคือ เรือหลวง จักรีนฤเบศร เรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์/เรือกู้ภัย/เรือบัญชาการ/เรือพยาบาล และ เรือธง ลำแรก และลำเดียวของกองทัพเรือไทย
จักรกฤษณ์ จิตรกุล
10 ก.ค. 2559