- 11 ก.ค. 2560
ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th
วันนี้ 11 ก.ค.ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านตามา ต.ชุมแสง อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ ว่าพ่อถูกคนบ้านเดียวกันทำร้ายอย่างโหดเหี้ยมภายในบ้าน ถูกนำตัวส่งตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลบุรีรัมย์ เพราะอาการสาหัส แต่ผู้ก่อเหตุยังลอยนวลในหมู่บ้าน
เมื่อเดินทางไปตรวจสอบที่บ้านเลขที่ 127 หมู่ 1 บ้านตามา ต.ชุมแสง พบนายฉลอง มอญเกิดแก้ว อายุ 53 ปี เพิ่งกลับบ้านหลังไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลศูนย์บุรีรัมย์ตั้งแต่วันที่ 3 ก.ค.ทีผ่านมา แต่ยังมีร่องรอยฟกช้ำตามใบหน้าและใต้คาง
สอบถามนายฉลอง มอญเกิดแก้ว เล่าว่า เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 ก.ค.เวลาประมาณ 21.00 น.ซึ่งวันนั้นมีงานศพภายในหมู่บ้าน หลังจากตนเองกลับมาจากงานศพแล้วเตรียมเข้านอน เฝ้าบ้านให้ลูกสาวที่กำลังก่อสร้างยังไม่เสร็จ
จากนั้นได้ยินเสียงนายสุมิตร เพลารัมย์(เพ-ลา-รัม)บนเสียงดังมาตามถนนในหมู่บ้าน ตนเองซึ่งเห็นนายสุมิตร ทะเลาะกับภรรยาอย่างรุนแรงในงานศพมาก่อนหน้านี้ จึงเรียกให้มาร่วมแก๊งสุราต่อเพื่อคลายเครียด โดยในการพูดคุยกันตนเองจะพยายามเตือนสติ
คุยกันไม่ถึง 2 นาที นายสุมิตร ได้ใช้เหล็กคาดว่าเป็นประแจเลื่อนซ่อมรถไถขนาดพอมือ ฟาดบริเวณใบหน้าแบบไม่ยั้งจนตนเองหมดสติ หลังจากได้สติได้คลานมาล้างหน้าและเลือดที่ท่วมร่าง ก่อนจะคลานกลับไปที่นอนแล้วมารู้ตัวอีกทีที่โรงพยาบาลสตึก ก่อนจะถูกส่งตัวมารักษาต่อที่โรงพยาบาลศูนย์บุรีรัมย์
ด้านลูกสาวผู้บาดเจ็บ บอกว่า ให้พ่อมาเฝ้าบ้านให้ระหว่างที่กำลังก่อสร้าง วันเกิดเหตุไม่มีใครทราบเรื่อง เพราะพ่อนอนคนเดียว รุ่งเช้าของวันที่ 3 มาพบพ่อจมกองเลือดไม่ได้สติ จึงรีบนำส่งโรงพยาบาลสตึก กระทั่งมาทราบจากพ่อว่า ผู้ก่อเหตุคือนายสุมิตร เพลารัมย์ ซึ่งเป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน
จึงเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.ชุมแสง แล้วกลับไปเฝ้าพ่อต่อที่โรงพยาบาลศูนย์บุรีรัมย์ เบื้องต้นแพทย์ระบุมีฟันหักหลายซี่ กรามหัก โพรงจมูกทะลุ เย็บตามช่องปากและใบหน้ามากกว่า 40 เข็ม เมื่อออกจากโรงพยาบาลเมื่อวันที่ 8 ก.ค.ก็ยังพบว่านายสุมิตร ผู้ก่อเหตุยังอยู่ในหมู่บ้านตามปกติ และยังไม่
ทราบว่าคดีไปถึงไหน โดยยืนยันจะดำเนินคดีจนถึงที่สุด เพราะเป็นการก่อเหตุแบบเย้ยกฎหมายบ้านเมือง แต่ยังโชคดีที่พ่อรอดชีวิตมาได้
ด้าน พ.ต.ท.วิศิษฎ์ บัวสง่าวงศ์ สารวัตรใหญ่ สภ.ชุมแสง กล่าวว่า เหตุดังกล่าวตำรวจได้รับแจ้งเมื่อวันที่ 3 ก.ค.แล้ว แต่ยังไม่สามารถแจ้งข้อหากับผู้ถูกกล่าวหาได้ เพราะขาดคำให้การของผู้เสียหายและญาติผู้เสียหายรวมถึงยังไม่มีพยานชัดเจน
ซึ่งแนวทางคดีตำรวจจะต้องพยาน หลักฐานให้พอเชื่อถือได้ โดยเฉพาะผู้เสียหาย จึงจะมีการเรียกตัวผู้ส่งสัยมาสอบสวน ซึ่งหากพบว่ามีมูลความจริง ก็จะดำเนินคดีตามกฎหมายโดยไม่ละเว้น ส่วนข้อหาจะต้องคอยผลจากแพทย์มายืนยันถึงอาการว่าสาหัสแค่ไหน
ภาพ/ข่าว วาทิตย์ แสนธุปี ผู้สื่อข่าวภูมิภาค สำนักข่าวทีนิวส์ จ.บุรีรัมย์