ติดตามเรื่องราวดีๆ อีกมากมายได้ที่ http://www.tnews.co.th

ครบ๔ปีแห่งวันละสังขาร "คุณแม่จันดี โลหิตดี" สตรีผู้บรรลุธรรม ย้อนเล่าคืนสำคัญ แห่งการบรรลุธรรม  จิตที่ว่างเปล่าเป็นแบบนี้นี่เอง!

              คุณแม่จันดี โลหิตดี พี่น้องเดียวกันกับพระหลวงตามหาบัว วัดป่าบ้านตาด  และเป็นน้องสาวคนเดียวที่สละบ้านเรือนออกปฏิบัติ ถือศีลภาวนา ที่วัดป่าบ้านตาด

             คุณแม่จันดี เล่าว่า..การปฏิบัติภาวนา ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ช่วยแนะสอนจะช้าได้เพราะ ช่วงปฏิบัติภาวนา เรารู้เห็นอะไร มันก็ชวนให้หลงให้ติดเพราะเป็นความอัศจรรย์ ที่เราเกิดมาไม่เคยพบ-เห็นในชีวิต และไม่มีแสดงอยู่ที่ไหนในโลก นอกจากผู้ภาวนาแต่ละรายจะรู้เองเห็นเองจากการปฏิบัติของตัวเอง รู้ขึ้นในใจของตัวเองเป็นสันทิฏฐิโกประกาศป้างขึ้นที่หัวใจ ไม่ต้องถามใคร... ไม่ต้องให้ใครมาโกหก เราได้ พิสูจน์ได้ด้วยตัวเอง ไม่ลี้ลับ ไม่ปิดบัง เปิดเผยเสมอ มีอยู่ตลอดกาล...ธรรมความจริง ธรรมไม่ตาย เปิดเผยสง่างามอยู่ทุกกาล ทุกสมัยตลอดมา และตลอดไป เป็นแต่ผู้คนจะมีจิตยินดีและต้องการหรือไม่”

ครบ๔ปีแห่งวันละสังขาร "คุณแม่จันดี โลหิตดี" สตรีผู้บรรลุธรรม ย้อนเล่าคืนสำคัญ แห่งการบรรลุธรรม  จิตที่ว่างเปล่าเป็นแบบนี้นี่เอง!

             ท่านให้คำแนะนำเรื่องการปฏิบัติภาวนา ได้ถูกต้องแม่นยำ ไม่ผิดเพี้ยนจากหลักความจริงตามธรรมคำสอนของพระหลวงตา(หลวงตามหาบัว)มหาบัวทุกอย่าง ท่านเมตตาเล่าถึงการปฏิบัติของท่านที่ยากลำบากแม้จะไม่ได้ขึ้นภูเขา เข้าป่า แต่ธรรมที่ท่านได้มาก็แลกด้วยชีวิต ความตอนหนึ่ง ได้ประกาศขึ้นในจิตท่านว่า..ให้เอาชีวิตแลกธรรม” ตอนนั้นเอง พระหลวงตา(หลวงตามหาบัว)ก็บอกให้ท่านเร่ง

มึงอย่าเสียดายชีวิตนะ เร่งเลย เร่งเลย..”

               ท่านจะพูดเสมอว่า พระหลวงตา(หลวงตามหาบัว)สอนให้แม่ปฏิบัติมาอย่างนี้ ถ้าเป็นคำพูดของพระหลวงตา(หลวงตามหาบัว)แล้ว ยิ่งการปฏิบัติภาวนา จะคลาดเคลื่อนไปไม่ได้เลย...”

 

                ในคืนวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๓๕ เวลา ๕ ทุ่มครึ่งเป็นคืนที่ ฟ้าครึ้ม และลมพัดแรงมาก ท่านกราบพระแล้วนั่งภาวนาข้อธรรมได้ผุดขึ้นในจิตว่า..“อายะตะนะนั้นมีอยู่ แต่ไม่มีดิน-น้ำ-ไฟ-ลม ไม่มีจุติเคลื่อน ไม่มีที่ไป ไม่มีที่มา ไม่มีอารมณ์ ไม่มีอารมณ์ นั้นแหละคือที่สุดแห่งทุกข์”

 

           จิตตอนนั้นจ่อเฉยๆ เหมือนไม่พิจารณาอะไร เสียงต้นขนุนใหญ่ที่แห้งตาย อยู่ข้างกุฏิ สั่นไหวเสียงดังลั่นเพราะลมแรง ท่านคิดว่าคงหักทับกุฏิ และท่านก็คงตายพร้อมๆ กัน อวิชชาขาดกระเด็นออกจากจิต ขณะนั้นรู้ว่า อวิชชาเหนียวแน่นมาก พร้อมกับก้นกระแทกพื้นสูง ๑ ศอก โลกธาตุหวั่นไหว แผ่นดินสะเทือน เสียงดังสนั่น ถึด.. ถึด .. ถึด .. ถึด.. แผ่นฟ้าม้วนกลับลงมา พันกันกับแผ่นดิน ม้วนรวมกัน แล้วจึงแยกออกจากกัน โลกธาตุหวั่นไหว พร้อมกับเสียงอนุโมทนาสาธุการ จากสวรรค์ทุกๆ ชั้น ชั้นพรหมทุกๆ ชั้น ลงถึงพื้นบาดาล ขวาซ้ายสถานกลาง ร่วมอนุโมทนา สาธุการ เสียงปี่พาทย์ บรรเลงขับกล่อม กระหึ่มก้องเสียงประกาศก้องขึ้นที่จิต “ว่าง-วางเป็นจิตพุทธะ > จิตบริสุทธิ > จิตเป็นธรรมชาติ” ขณะที่อวิชชาขาดออกจากจิต พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์สาวกทุกๆ พระองค์ โดยเฉพาะพระหลวงตา (หลวงตามหาบัว) ได้ช่วยหนุนจิตท่าน ทุกๆ พระองค์ ทุกๆ อย่างที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นพร้อมๆ กัน ไม่มีอะไรก่อน ไม่มีอะไรหลัง มีอะไรอีกมากที่ไม่สามารถพูดให้ฟังได้หมดเพราะของเหนือโลก เจอแล้วจะรู้เอง

               ท่านบอกว่า..ไม่เหลือวิสัย มีอยู่ในใจของทุกคน อย่ากลัวตาย กิเลสมันกลัวตาย รอดตายจึงได้ธรรม มันไม่ตายหรอก คนกล้าตาย ไม่กลัวตาย มีแต่กิเลสนั่นหละจะตายจากหัวใจ

 

            ... คืนนั้น ท่านกราบน้อมถึงคุณพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ถึงคุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ โดยเฉพาะพระหลวงตา (หลวงตามหาบัว) ทั้งเป็นครูอาจารย์ เป็นพ่อ เป็นพี่ชายในสายโลหิตเดียวกันในชาติปัจจุบัน

คืนนั้น ท่านไม่นอนทั้งคืน...

 

             เมื่อพบพระหลวงตา(หลวงตามหาบัว)อีกครั้ง จึงได้กราบเรียนท่านถึงสภาวะธรรมทั้งหมด ที่เกิดขึ้น…

พอกล่าวจบ พระหลวงตา(หลวงตามหาบัว)พูดขึ้นว่า.. อ้าย(พี่) หมดห่วงแล้ว...”

 

               คุณแม่จันดี โลหิตดี เป็นที่รู้จัก และเป็นที่เคารพศรัทธาจากลูกศิษย์ขององค์พระหลวงตา(หลวงตามหาบัว)มหาบัว ญาณสัมปันโน ตลอดระยะเวลาประมาณ ๓๒ ปีแล้วนับจากปี พ.ศ.๒๕๒๔ ที่คุณแม่ท่านอยู่ปฏิบัติธรรมและอบรมสั่งสอนลูกศิษย์อยู่ที่วัดป่าบ้านตาด ภายใต้ท่าทางที่ดูสงบ เรียบง่ายและความอบอุ่นที่เผื่อแผ่ออกมา ท่านมีความเด็ดเดี่ยว เด็ดขาดจริงจัง จนดูน่ากลัวสำหรับศิษย์ผู้อ่อนแอ ดวงตาของท่านเวลาสอนลูกศิษย์ต่อสู้กับศัตรู คือกิเลส ท่านจะดูอาจหาญ ขึงขัง เด็ดเดี่ยว จริงจังมาก ถ้าลูกศิษย์คนใดจิตใจไม่เข้มแข็งพอ ท่านก็จะค่อยๆ ทะนุถนอม แต่ท่านจะเปรยๆว่า

"กิเลสในใจของตัวเองก็ฆ่ามาแล้ว นี่ต้องได้มาเอาใจกิเลสของผู้อื่น โอ๊ย น่าอเนจอนาถ"

 

 

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.dhammada.net/2011/02/01/7145/