ติดตามเรื่องราวดีๆได้ที่ www.tnews.co.th

ย้อนตำนาน การทรงญาณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ “หลวงพ่อบ๋าวเอิง วัดญวน สะพานขาว”

(บทความพิเศษ โดย “ทิพยจักร”)

จะเล่าให้ฟัง

เรื่องร่างทรงในปัจจุบันนี้ถ้าใครที่ติดตามจากทางเฟสบุ๊ค ก็จะรู้จักตำนานการลงมาประทับทรงของหลวงปู่อิเกสาโรว่าเมื่อยามท่านประทับทรงแล้วสามารถสร้างปาฏิหาริย์เรียกพระจากกลางอากาศ และทำปาฏิหาริย์อีกมากมาย ในปัจจุบันร่างประทับของหลวงปู่อิเกสาโรได้สิ้นไปแล้วการประทับทรงก็เป็นอันยุติลงไป

วันนี้เราจะลองย้อนเวลานึกถึงสำนักทรงที่โด่งดังตั้งแต่ก่อนพ.ศ.2500 กันดู

ที่แรกตามภาพเลยครับ วัดญวน สะพานขาว ตั้งแต่ช่วงปี 2491 หลังจากที่หลวงพ่อบ๋าวเอิงลองใช้คาถาเชิญวิญญาณในพิธีกงเต๊ก ลองเชิญเจ้าพ่อกวนอูประทับทรงสำเร็จมาแล้ว ท่านจึงได้ลองทำพิธีเชิญดวงวิญญาณอื่นๆ คราวต่อๆมา ท่านจึงสามารถติดต่อกับพระพรหม พระอิศวร พระอุมา นางสนองโอษฐ์พระศรีอุมา เจ้ากรุงพาลี พระฤๅษีนารอด ปู่ชีวกโกมารภัจจ์ ทั้งนี้ท่านได้ขอความรู้และเทพมนต์จากเทพเทวาต่างๆผ่านการประทับทรง คนไทยช่วงนั้นจึงเกิดค่านิยมในการบูชาพระอิศวร พระอุมา พระพรหม ขึ้นมาอย่างแพร่หลายซึ่งก่อนหน้านี้ไม่มี

สำนักทรงในความทรงจำ...ย้อนตำนาน “การลงทรง” ที่เคยสร้างปรากฏการณ์ฮือฮาในสังคมไทย "นักสื่อวิญญาณ"...ที่เหลือเพียงตำนานเล่าขานสืบมา

 

ถัดมาในช่วงปี 2515 ร่างทรงที่โด่งดังมากคือคุณศศิธร เมธางกูร ประทับทรง หลวงพ่อเสือ วัดไผ่สามกอ พระโพธิสัตว์ชั้นดุสิต แสดงฤทธิ์ผาดโผนพิสดารไม่เป็นสองรองใคร เช่นเอาผ้ามาบิดเป็นเกลียวแล้วใช้มืดรูดจากหัวจรดปลาย ผ้าก็กลายเป็นสร้อยคอทองคำแท้ๆ คว้าพระจากกลางอากาศ เอากาวลาเท็กบีบลงไปในผลส้มแล้วใช้ปากกาแทงสวนขึ้นมาปรากฏมีพระพุทธรูปองค์เล็กติดปลายปากกาขึ้นมาได้ เคี้ยวหมากคายหมากออกมาเป็นพระเครื่อง รักษาโรคสารพัดชนิดทั้งคุณไสยและโรคทั่วไปให้ประชาชน

ตัวคุณศศิธร เองเป็นโรคมะเร็งในเม็ดเลือดขาวมาแต่เด็กแต่ด้วยพลังเหนือโลกระดับโพธิสัตว์จึงต่ออายุและบำบัดรักษาคุณศศิธรจนทุกวันนี้ท่านยังสุขภาพแข็งแรงผ่องใสดี ในปัจจุบันคุณศศิธรไม่ได้ประทับทรงแล้ว ทำหน้าที่สอนพระอภิธรรมเพียงอย่างเดียว

สำนักทรงในความทรงจำ...ย้อนตำนาน “การลงทรง” ที่เคยสร้างปรากฏการณ์ฮือฮาในสังคมไทย "นักสื่อวิญญาณ"...ที่เหลือเพียงตำนานเล่าขานสืบมา

(ดร.คลุ้ม วัชโรบล)

ในระยะปีใกล้ๆกัน 2518 เกิดสำนักอันเป็นตำนานอีกสองสำนัก คือสำนักปู่สวรรค์ ช่วงนั้นนักวิทยาศาสตร์ระดับแนวหน้าอย่าง ดร.คลุ้ม วัชโรบล ให้ความศรัทธาและสนับสนุน ทั้งนี้ในช่วงต้นร่างที่ทำหน้าที่ประทับทรงหลวงปู่ทวด หลวงปู่โต ทำการรักษาคนเจ็บไข้ได้ป่วยให้หายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ต่อมาจึงมีการประทับทรงท้าวมหาพรหมชินะปัญชะระเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งองค์ ปัจจุบันทางสำนักไม่มีการทรงแล้วคงมีแต่กิจกรรมสวดมนต์เท่านั้น ปัจจุบันร่างที่ทำหน้าที่ได้สิ้นชีวิตลงไปแล้ว

สำนักค้นคว้าทางจิตวิญญาณ ของ อาจารย์พร รัตนสุวรรณ ย่านวัดสังเวชก็เป็นอีกหนึ่งสำนักที่โด่งดังมาก ร่างทรงคือคุณเพ็ญศรี จตุทะศรี ผมทิพยจักรเคยสัมภาษณ์ท่านราวปี 2539 โดยคุณเพ็ญศรีสามารถติดกับพ่อปู่ฤๅษีได้และที่ผ่านมาท่านเป็นผู้ติดต่อกับดวงวิญญาณพ่อขุนผาเมือง สมเด็จพระนเรศวรเป็นต้น

ในช่วงปี 2518 อีกเช่นกันทางนครพนมมีการประทับทรงพญานาคทั้ง ๗ แสดงฤทธิ์ผาดโผนในการรักษาสารพัดโรค คนที่เดินขึ้นมาคิดอะไรในใจร่างจะตอบก่อนที่จะถาม คนที่เป็นนิ่วเวลาร่างรักษาจะแสดงฤทธิ์คายนิ่วในตัวคนไข้ออกมาทางปากของร่าง ฉับพลันคนไข้ที่เป็นนิ่วก็จะปัสสาวะราด ณ ตรงนั้นทันที สภาพของวัดพระธาตุพนมยุคนั้นไม่ผิดกับโรงพยาบาล อีกทั้งรักษาฟรีไม่มีค่าครูไม่ต้องบนอีกด้วย

นี่คือส่วนหนึ่งในยุค 40 กว่าปีที่แล้ว ย้อนไปถึงก่อน 2500 ตำนานสำนักทรงที่อยู่ในความทรงจำที่เคยสำแดงปาฏิหาริย์โปรดช่วยเหลือคนมานักต่อนัก ซึ่งปัจจุบันนี้จะหาแบบนี้ก็ยากเต็มที บางทีหาเข็มในมหาสมุทรยังจะง่ายกว่า

สำนักทรงในความทรงจำ...ย้อนตำนาน “การลงทรง” ที่เคยสร้างปรากฏการณ์ฮือฮาในสังคมไทย "นักสื่อวิญญาณ"...ที่เหลือเพียงตำนานเล่าขานสืบมา

 

อยู่อย่างปล่อยวาง ... หรือจะเดินสู่หนทาง “ร่างทรง”

ร่างทรงหรือสื่อกลางของสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นสิ่งที่มีมานานควบคู่ไปกับสังคมโลก ร่างทรงมีอยู่ทุกมุมโลกทุกวัฒนธรรม

ผู้เป็นร่างส่วนใหญ่มีชื่อเสียงขึ้นมาจากความแม่นในการทำนายทายทักและการช่วยสงเคราะห์ผู้คนแล้วได้ผล และร่างทรงส่วนใหญ่ที่เป็นของแท้ก็มักแพ้กิเลสตนเองทำให้สูญสิ้นความศักดิ์สิทธิ์และชื่อเสียงของตน

ในอดีตที่เพชรบูรณ์เคยมีคนพิการทำหน้าที่เป็นร่างทรงพ่อขุนผาเมือง จากพิการจนๆภายในไม่กี่ปีกลับร่ำรวยขึ้นมาเพราะความแม่นยำในการทำนายทายทักและเมื่อถึงจุดหนึ่งร่างเริ่มเห็นแก่รายได้ ใช้คำของตนความต้องการของตนแต่อ้างว่าเป็นคำและความต้องการของเบื้องบน สุดท้ายเขาก็กลับมาจนใหม่และจนลงยิ่งกว่าเดิมสุดท้ายก็ตายไปอย่างน่าเวทนา

อุทธาหรณ์แบบนี้มีมากผมเองสมัยที่ไปเรือนไทยที่ภูเก็ต เจ้าของบ้านเป็นร่างทรงพระพิฆเนศ ทำนายทายทักคนที่ไปหาแม่นอย่างกับเข้าไปนั่งในใจของคนๆนั้น แต่ในที่สุดเขาก็หมดตัวและล้มป่วยด้วยโรคอัมพฤกษ์ เหตุแห่งความวิบัติก็เพราะเอาคำตนเองไปอ้างว่าเป็นคำของพระเจ้าอีกเช่นกัน

คนเก่งมีจริง คนเคยเก่งก็เยอะ เมื่อโลกนี้ไม่ได้มีขาวกับดำไม่ได้มีชั่วกับดี แต่มีชั่วแกมดีหลากสีอยู่ด้วย ดังนั้นการพบเจอร่างทรงจึงพึงสังวรว่า คำของเขาไม่ใช่คำของพระเจ้าไปเสียทั้งหมด และหลายคำอาจเป็นการสนองกิเลสของตัวเขาเอง

การเข้าหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ผ่านตัวกลางคือร่างทรงจึงควรระมัดระวังให้หนัก. การเข้าถึงพระเป็นเจ้าด้วยคามคิดของเราก็เช่นกันอาจทำให้เราเข้าข้างตัวเองตามกิเลสที่หลอกตัวเอง

ปล่อยวางกับเรื่องพวกนี้ดีที่สุดครับ