"รัฐบาลยิ่งลักษณ์จะพังเพราะจำนำข้าว"?! ย้อนฟังคนกันเอง"ดร.โกร่ง" เตือน"หญิงปู" อย่าริเล่นกับไฟ-มันคุมทุจริตไม่ได้ "ขืนเดินหน้าพังกันหมดแน่"?

ติดตามข่าวสารที่ www.tnews.co.th

 

อารมณ์ เคนหล้า สำนักข่าว Tnews (แก้ไขล่าสุด 22 ส.ค. 60)

 

"รัฐบาลยิ่งลักษณ์จะพังเพราะโครงการรับจำนำข้าว"....เป็นประโยคไฮไลน์ที่ "อาจารย์โกร่ง" หรือ ดร.วีรพงษ์ รามางกูร ประธานที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจนายกรัฐมนตรี ซึ่งก็คือตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์ หรือเรียกง่าย ๆ ว่าคนกันเองออกโรงเตือนอดีตนายกฯ หญิงผู้นอมินี เมื่อช่วงเดือนตุลาคม 2555 หรือ หลังจากที่เธอบริหารงานจัดตั้งรัฐบาลมาแล้วกว่า 1 ปี และโครงการรับจำนำข้าวก็เข้าสู่ช่วงที่ 2 หรือ crop ที่ 2 แล้ว โดย ดร.วีรพงษ์ ในฐานะประธานที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์ เองถึงกับระบุว่า ถ้ารัฐบาลจะพังก็พังเพราะเรื่องนี้แหละ เพราะมันเป็นโครงการที่ควบคุมการทุจริตคอร์รัปชั่นไม่ได้ รวมทั้งแค่ชื่อโครงการฯ ที่อ้างว่า "จำนำ" ก็ไม่ใช่แล้ว

 
"ต่อให้แน่มาจากไหนก็ควบคุมเรื่องนี้ไม่ได้" ประธานที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชำแหละโครงการของรัฐบาลที่ตัวเองเป็นที่ปรึกษาอยู่อย่างตรง ๆ 


ดร.วีรพงษ์ ยังบอกด้วยว่า ความจริงเขาไม่เห็นด้วยกับโครงการรับจำนำข้าวมาตั้งแต่แรก เพราะแค่ชื่อ "โครงการรับจำนำก็ผิด" แล้ว เพราะหลักการจำนำ-ราคาจำนำต้องต่ำกว่าราคาจริง แต่การให้ราคาจำนำสูงกว่า คงไม่มีใครมาไถ่ถอน ข้าวที่มาจำนำก็มีทั้งของจริง และสต็อกลม ไม่สามารถป้องกันการทุจริตได้ ซึ่งถ้ารัฐยังขายข้าวไม่ได้ ก็จะมีต้นทุนค่าใช้จ่ายสูงมาก โดย ดร.วีรพงษ์ บอกด้วยว่า เรื่องที่กล่าวข้างต้นนั้น ตนเองได้บอกให้นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้รับรู้ไปแล้ว


 

นอกจากนี้ ดร.วีรพงษ์ ยังเคยเขียนบทความเตือน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ตอนดำเนินโครงการฯ ใหม่ ๆ พอสรุปใจความได้ว่า นโยบายรับจำนำสินค้าเกษตร เป็นนโยบายที่ล้มเหลวมาโดยตลอด เพราะผลประโยชน์มิได้ตกถึงมือเกษตรกรอย่างแท้จริง โรงสี และผู้ส่งออก รวมทั้งคนของนักการเมืองในพื้นที่ที่หากินในเรื่องข้าวเท่านั้นที่ได้ประโยชน์ 

 
อย่างไรก็ตาม ข้อเขียนและคำเตือนของ ดร.โกร่ง ไม่ได้ก่อให้เกิดสำนึกใด ๆ แก่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ตรงกันข้าม เธอออกมาตอบโต้ที่ปรึกษาตนเองในเรื่องนี้แบบถึงลูกถึงคน แม้จะอ้างว่าไม่โกรธเคือง ดร.โกร่ง แต่หลังจากนั้นรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็ตัดสัมพันธ์กับ ดร.โกร่งไปแบบเซียนเศรษฐกิจระดับประเทศอย่าง อ.โกร่ง คงต้องทำใจไปพักใหญ่


แต่ทว่านอกจากตอบโต้คนกันเองอย่าง ดร.โกร่ง แล้ว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังสวนกลับแบบชนิดเถียงคอเป็นเอ็น หลังหน่วยงานตรวจสอบทั้ง ป.ป.ช. และ สตง. ทำหนังสือทักท้วง ขอให้ทบทวนและยุติโครงการจำนำข้าว เพราะโครงการฯ จะก่อให้เกิดการทุจริตอย่างมหาศาลในทุกขั้นตอน ทั้งวิธีการขึ้นทะเบียนชาวนา กรรมวิธีการรับจำนำเอง วิธีการเช่าโรงสีเพื่อเป็นคลังเก็บข้าว ขั้นตอนการระบายข้าว รวมทั้งการชำระหนี้ให้แก่เกษตรกรผู้ร่วมโครงการฯ แต่ข้อท้วงติงเหล่านั้น กลับถูกเพิกเฉยจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ แถมสวนกลับมาทำนอง...เรื่องทุจริตไม่มีปัญหารัฐบาลคุมอยู่...และหากมีจริงก็แค่ระดับเจ้าหน้าที่ผู้ปฎิบัติงานในพื้นที่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องในท้องที่จัดการได้ ขณะลูกหาบในพรรคหลายคน โดยเฉพาะคนคุมเศรษฐกิจอย่างนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ก็ออกมารับลูกเรื่องนี้ โดยระบุจัดการทุจริตได้แน่ แถมท้าทายสังคมว่า หากรัฐบาลเพื่อไทย เดินหน้าโครงการจำนำข้าว แล้วใช้เงินมากกว่า "โครงการประกันราคา" ของรัฐบาลอภิสิทธิ์ คือ 60,000 ล้านบาท ตนเองก็พร้อมจะลาออก และรัฐบาลเพื่อไทยคงอยู่ไม่ได้

 

...ว่ากันว่า...หนังสือท้องติงทั้งจาก ป.ป.ช. และ สตง. ที่คนเพื่อไทยไม่สนใจใยดีนั้น นับเป็นหลักฐานใหญ่ที่มัด "ยิ่งลักษณ์" จนแน่นหนา ดิ้นยังไงก็คงหลุดยาก เพราะเตือนถึงผลเสียในทุกจุดแล้ว แต่ไม่มีใครสนใจนำพาฟังเลย

 

ถึงวันนี้  "มหากาพย์โคตรโกง-ทุจริตโครงการจำนำข้าว" ที่ ดร.โกร่ง ทำนายไว้ว่า จะทำให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์พังทั้งคณะ เดินทางมาถึงฉากสุดท้ายอย่างแท้จริงแล้ว โดยเหลือเวลาอีกแค่ 3 วัน คือในวันศุกร์ที่ 25 ส.ค.นี้ ศาลฎีกาของนักการเมืองก็จะนัดอ่านคำพิพากษา "คดีอันเป็นดั่งมหากาพย์การโกง" นี้แล้ว 

แต่อย่างที่กล่าวไว้แต่แรกว่า คำเตือนของ ดร.โกร่ง รวมทั้งหน่วยงานตรวจสอบอื่น ๆ ไม่ได้ก่อให้เกิดสำนึกใด ๆ แก่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เลยแม้เพียงเศษเสี้ยวของความนึกคิด เนื่องเพราะคำแถลงปิดคดีด้วยวาจาของเธอเมื่อช่วงต้นเดือน หรือเมื่อวันที่ 1 ส.ค.ที่ผ่านมา ได้ระบุเนื้อความแบบไม่สนใจความพินาศของแผ่นดินที่เป็นความจริงเชิงประจักษ์ตอนหนึ่งว่า

 
"ดิฉันขอเรียนว่า การดำเนินโครงการมีประโยชน์และมีความคุ้มค่าต่อการดำเนินภารกิจภาครัฐ ตามที่กำหนดหลักเกณฑ์การประเมินความคุ้มค่าที่ต้องไม่คำนึงเฉพาะรายจ่ายหรือประโยชน์ที่คำนวณเป็นตัวเงินได้เฉพาะของโครงการเท่านั้นแต่ต้องพิจารณาถึงประโยชน์ทางเศรษฐกิจของประเทศและประโยชน์อื่น ๆ โดยรวมที่สังคมได้รับจากโครงการนั้นด้วย
       

เพราะภารกิจของภาครัฐมิใช่กระทำเพื่อแสวงหากำไร แต่เป็นการดำเนินการเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน ตามที่กำหนดไว้ในแผนการบริหารราชการแผ่นดินซึ่งถือเป็นเรื่องสาระสำคัญที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. และโจทก์ มิได้พิจารณาถึงประโยชน์ทางเศรษฐกิจของประเทศและประโยชน์อื่นๆ ของโครงการและไม่สามารถหักล้างพยานของดิฉันว่าโครงการมีประโยชน์ทางเศรษฐกิจทั้งที่คำนวณเป็นตัวเงินได้"

 

 

เหนืออื่นใดก็คือ เธอถึงกับระบุในตอนท้ายของการแถลงปิดคดีในวันนั้นว่า "นโยบายรับจำนำข้าว เป็นนโยบายสาธารณะ ที่มุ่งช่วยเหลือชาวนา ไม่ใช่ “พาณิชย์นโยบาย” ที่คิดกำไร ขาดทุนกับชาวนาผู้ยากไร้" แถมระบุในอีกช่วงหนึ่งว่า "ดิฉันไม่ได้ทำอะไรผิด"...เธอใช้คำนี้อย่างแจ้งชัดผ่านคำปิดคดีช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา

 
ถ้อยแถลงของ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชัดเจนในตัวเองอยู่แล้วว่า เธอไม่ได้สำนึกต่อความพินาศย่อยยับในการดำเนินนโยบาย "ประชานิยมสุดสามานย์" อย่างโครงการรับจำนำข้าวนี้เลย ตรงกันข้ามกลับเห็นว่าตัวเองเป็นผู้มีบุญมีคุณกับชาวนาเสียอีก (หากอ่านให้ดี) เพราะตลอดคำถ้อยแถลงนั้นเต็มไปด้วยวลี "ยกระดับชีวิตชาวนา" , "จากประสบการณ์ของผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่เกิดในต่างจังหวัดที่อยากจะช่วยชาวนา"...และประโยคทำนองนี้อีกเต็มไปหมด

 
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะกล่าวอ้าง แถกแถเช่นไร และทำให้ผู้ที่ติดตามการเมืองมานานอาจรู้สึกขัดใจ และคาดไม่ถึงว่า อดีตนายกฯ หญิงผู้นี้จะ "โกหกตำโตได้แบบไม่หลบตาคนทั้งประเทศ" ได้ถึงเพียงนี้  แต่ก็นั่นแหล่ะ...ทั้งหลายทั้งปวง...อยู่ที่คำวินิจฉัยของศาลฯ ว่าจะชี้ขาดเรื่องนี้เช่นไร จากนี้ไปอีกแค่ 3 วัน คือ ในวันที่ 25 ที่กำลังคืบคลานมาถึงนี้ ศาลฯ ก็นัดอ่านคำพิพากษาคดีที่ยืดเยื้อมากว่า 2 ปีนี้เสียที...และจะจริงดังที่ ดร.โกร่งว่าไว้หรือไม่ว่า..."รัฐบาลยิ่งลักษณ์จะพังเพราะจำนำข้าว" ถึงขั้นตัวเธอต้องระเห็จไปนอนคุกเลยหรือไม่...หรือจะยกฟ้อง...และเธอยังคงเป็น "ผู้บริสุทธิ์ตามที่เธอ...กล่าวอ้าง...และคิดว่าตัวเองยังคงเป็นเช่นนั้น"...ทั้งหลายทั้งปวงนี้...ขึ้นอยู่กับ "คำพิพากษาของศาลฯ" เท่านั้น...ว่าจะชี้ขาดเช่นไร...อีกราว ๆ 3 วันได้รู้กัน...(ทั้งนี้ คดีนี้ศาลฎีกาฯ ยังไม่ได้อ่านคำพิพากษา ในทางกฎหมายจึงถือว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่)