- 22 ส.ค. 2560
มีคนนอนไม่หลับแน่ !?!? "พล.อ.ประยุทธ์" สนใจอะไร 25 ส.ค. ชัดๆเลยนะ มีอะไรหรอ ...จะไปสนอะไร!
นายกบอกคืนวันที่24สค.หลับสบายอยู่แล้ว จะมีไม่กี่คนเท่านั้นที่นอนไม่หลับ
วันที่ 22 ส.ค. 2560 ผู้สื่อข่าวรายงาน พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงวันอ่านคำพิพากษาคดีโครงการรับจำนำข้าวที่มีน.ส ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นจำเลย โดยผู้สื่อข่าวถามว่า คืนวันที่ 24 ส.ค.นี้นายกรัฐมนตรีจะนอนหลับหรือไม่ ว่า มีอะไรเหรอ วันอะไร วันศุกร์เหรอ
"วันศุกร์ดีใจสิตนได้พักผ่อน ไปสนใจอะไรก็เป็นวันของคดี เป็นเรื่องบุคคล และศาล คนจะนอนไม่หลับมีไม่กี่คนหรอก ผมหลับสบายทุกวัน งานผมเยอะอยู่แล้ว "
เมื่อถามถึงการเตรียมการรับมือสถานการณ์ในวันที่ 25 ส.ค.นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เค้าเตรียมการตามหน้าที่ ไม่ได้ไปกดดันใคร อีกฝ่ายอย่าไปยุแยงตะแคงรั่ว ว่าจะทำโน่น ทำนี่ อีกฝ่ายต้องเตรียม ก็ขู่กันทำไม เจ้าหน้าที่ต้องเตรียมการไว้เพื่อไม่ให้มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งเสียทั้งเวลา และงบประมาณ ตนขอร้องอย่าทำ และตนได้ถามชาวอีสานว่าจะไปวันที่25ส.ค.นี้หรือไม่ ได้คำตอบว่าไม่ไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า ประเมินสถานการณ์หลังการอ่านคำพิพากษาว่าจะมีเหตุป่วนเกิดขึ้นหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า
" แล้วมันจะเป็นอะไรเกิดขึ้นมา แล้วมีได้ไหม ประเทศไทย คนไทยจะยอมให้เกิดขึ้นมาอีกไหม ถ้าสมมุติว่ามีคำตัดสินออกมาแล้ว และมีคดีออกมาอย่างไรตนไม่รู้ ตนไม่เคยไปรู้ก่อนล่วงหน้า ไม่อยากรู้ด้วย และถ้าเกิดอะไรขึ้นมาคนไทยทั้งประเทศยอมรับได้หรือไม่ ถ้าคนไทยทั้งประเทศยอมรับได้ให้เกิดความวุ่นวายอีก ตนก็ยอมท่านแล้ว คนไทยทุกคนเป็นผู้กำหนดอนาคตประเทศ สื่อด้วย สื่อเป็นคนสำคัญเป็นตัวกลางที่ทำให้ประเทศชาติสงบสุข เดินหน้าประเทศไปข้างหน้าให้ได้ และนายกรัฐมนตรีตะโกนถามขึ้นมาว่าไหนสื่อฉบับไหนที่ว่าจะไม่มาทำข่าวผม ใคร ไหนมาหรือเปล่า ดีไม่มา ผมไม่โกรธเค้า แต่รับนิสัยเค้าไม่ได้ เค้าบอกว่า สื่อต้องทำหน้าที่เพื่อประโยชน์สาธารณะ ที่ผมทำ ผมทำเพื่อประโยชน์สาธารณะหรือไม่ ผมไม่ได้ให้สื่อมาโฆษณาให้ว่านายกเก่งดี คำหวานตนไม่ต้องการ และที่สื่อมาถามตนเรื่องวันที่24ส.ค.ประโยชน์สาธารณะหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องส่าธารณะเลย เป็นเรื่องบุคคล ไม่เช่นนั้นในกระบวนการก็ผิดหมด ทุกคดีความก็ตัดสินกันไม่ได้ทั้งหมด
ทั้งนี้ก่อนหน้าพล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกระแสข่าวประชาชนจะเดินทางมาให้กำลังใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ศาลฎีกาว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ มีแนวทางที่ชัดเจน ว่าไม่ได้จะไปทำอะไรกับผู้ที่จะมาให้กำลังใจ จะรักใครชอบใครไม่มีใครว่า เพียงแต่เป็นห่วงประชาชนที่จะเดินทางมาวันนั้น เพราะการตัดสินคดีเป็นกระบวนการยุติธรรมของศาล ถ้าไม่ยึดข้อกฎหมายบ้านเมืองไปลำบาก จะผิดถูกอย่างไรเป็นเรื่องของกระบวนการ ศาลตัดสินมาแล้วก็อาจมีทั้งคนสมหวังและไม่สมหวัง ไม่ว่าคำตัดสินจะเป็นอย่างไร ไม่อยากให้ประชาชนเอาอารมณ์มาตัดสิน
ทางด้านพ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เองก็ได้เปิดเผยถึงความพร้อมในการรักษาความปลอดภัยในวันที่ 25 ส.ค. นี้ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนัดอ่านคำพิพากษาคดีจำนำข้าวที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลยว่า ได้เตรียมความพร้อมในเรื่องของการตั้งจุดคัดกรองรอบนอกพื้นที่ตามภาคต่างๆร่วมกับฝ่ายปกครอง เป็นการบูรณาการร่วมกันตามปกติอยู่แล้ว ไม่ได้มีเจตนาขัดขวางมวลชนแต่อย่างใด แต่เพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลที่ 3 อาศัยช่วงเวลานี้เข้ามาสร้างสถานการณ์ เพราะคดีดังกล่าวเป็นคดีที่มีความสำคัญ จึงได้มีการจัดวางกำลังเป็นกรณีพิเศษ
ย้อนไปก่อนหน้าเมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2560 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางมารแถลงปิดคดีจำนำข้าว ด้วยวาจา ที่ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ท่ามกลางนักการเมืองหลายคน ที่เดินทางมาให้กำลังใจ
สำหรับเนื้อหาของคำแถลงปิดคดีของ นางสาวยิ่งลักษณ์ ในวันนี้นั้นมีบางส่วนที่น่าสนใจดังนี้
“ก่อนอื่นดิฉันขอกราบขอบพระคุณองค์คณะผู้พิพากษาที่อนุญาตให้ดิฉันแถลงปิดคดีด้วยตนเองในวันนี้ เพิ่มเติมจากคำแถลงการณ์ปิดคดีเป็นลายลักษณ์อักษร
ดิฉันขอใช้โอกาสนี้กล่าวกับทุกท่านอย่างหมดใจในวันนี้ในเรื่องที่ดิฉันถูกดำเนินคดีโดยไม่ถูกต้องไม่เป็นธรรมและตลอดเวลาที่ดิฉันได้นั่งรับฟังการพิจารณาคดีนี้ นับตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2559 และสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2560รวมการไต่สวนของศาลในคดีนี้ทั้งหมด26 นัด เป็นเวลา 1 ปี 6 เดือนที่ดิฉันไม่เคยขาดนัดพิจารณาคดีของศาลแม้แต่สักครั้งเดียว ทั้งนี้เพราะดิฉันมั่นใจในความบริสุทธิ์ว่าไม่ได้กระทำผิดตามข้อกล่าวหาที่มีต่อดิฉัน
ด้วยความเคารพต่อทุกท่านที่เป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนี้หากมีถ้อยคำใดที่ดิฉันเปิดใจกล่าวอย่างตรงไปตรงมานั้นดิฉันไม่ได้มีเจตนาอื่นใดและไม่ได้ประสงค์จะใส่ร้ายหรือใส่ความผู้ใดดิฉันเพียงต้องการให้การพิพากษาคดีที่ดิฉันถูกกล่าวหาในครั้งนี้เป็นไปโดยถูกต้องเที่ยงธรรมตามรัฐธรรมนูญกฎหมายภายใต้หลักนิติธรรมที่ดิฉันไม่เคยได้รับจากคณะกรรมการ ป.ป.ช.และโจทก์ในคดีนี้มาก่อน ดิฉันขอเรียนแก้ข้อกล่าวหา ในเรื่องสำคัญ 6เรื่อง ตามลำดับ
เรื่องที่ 1 ดิฉันถูกดำเนินคดีอย่างไม่เป็นธรรมและไม่ชอบด้วยกฎหมาย ชั้นกล่าวหาและชี้มูลความผิดโดยคณะกรรมการ ป.ป.ช.ซึ่งเป็นต้นน้ำ ชั้นก่อนโจทก์ฟ้องคดีก่อนการฟ้องคดีอัยการสูงสุดเห็นว่า รายงานคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีข้อไม่สมบูรณ์เพียงพอที่จะดำเนินคดีกับดิฉัน
เรื่องที่ 2 นโยบายจำนำข้าวเป็นนโยบายสาธารณะที่เป็นประโยชน์ และดำเนินการตามกฎหมาย ข้อกล่าวหาของโจทก์ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายซึ่งมีประเด็นที่ดิฉันขอแก้ข้อกล่าวหาและขอความเป็นธรรม
เรื่องที่ 3 ดิฉันไม่ได้เพิกเฉย ละเลย และไม่มีอำนาจระงับยับยั้งโครงการตามอำเภอใจกระบวนการ ขั้นตอน และวิธีการบริหารนโยบายรับจำนำข้าวเป็นไปตามรัฐธรรมนูญกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรี
เรื่องที่ 4 การไม่ระงับยับยั้งโครงการเนื่องจากโครงการมีประโยชน์ ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายตามฟ้องเพราะภารกิจของภาครัฐมิใช่กระทำเพื่อแสวงหากำไร แต่เป็นการดำเนินการเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน
เรื่องที่ 5 ดิฉันไม่ได้ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลใดหรือโดยทุจริตตามมาตรา 157 ประมวลกฎหมายอาญาหรือ มาตรา 123/1พ.ร.บ. ป.ป.ช. ในฐานะนายกรัฐมนตรีผู้กำกับดูแลให้มีการปฏิบัติให้เป็นไปตามนโยบายของคณะรัฐมนตรีที่แถลงต่อรัฐสภาดิฉันไม่เคยละเลยเพิกเฉยในการกำกับและติดตามการปฏิบัติตามนโยบาย ที่ ป.ป.ช. สตง. และหน่วยงานอื่นท้วงติงดิฉันไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือโดยทุจริตตามที่ถูกกล่าวหา
เรื่องที่ 6 ดิฉันไม่ได้ปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตในการระบายข้าว ดิฉันรู้ดีว่าดิฉันเป็นเหยื่อของเกมการเมืองที่ลึกซึ้ง ดิฉันไม่ได้ทำอะไรผิดแต่สิ่งที่ดิฉันทำ คือ การใช้ประสบการณ์ของผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ที่เกิดในต่างจังหวัด มีโอกาสได้รับรู้สัมผัสความทุกข์ยากแสนสาหัสของชาวไร่ชาวนา ซึ่งประเทศนี้เคยเรียกพวกเขาว่า เป็นกระดูกสันหลังของชาติ และเรียกร้องให้คนไทยทุกคนเกื้อหนุนดูแล และดิฉันก็ได้ทำแล้วในโครงการรับจำนำข้าว เป็นผลพิสูจน์อย่างเป็นรูปธรรมแล้วว่า ในช่วงที่มีโครงการรับจำนำข้าว ชาวนามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ลูกหลานมีโอกาสเรียนต่อ นับเป็นความภูมิใจในชีวิต ที่ครั้งหนึ่งดิฉันได้มีโอกาสผลักดันนโยบายนี้ให้กับชาวนา
สุดท้ายนี้ ดิฉันเห็นว่าก่อนที่ศาลจะตัดสินคดีนี้ดิฉันใคร่ขอวิงวอนศาลได้โปรดพิจารณา พิพากษาคดีนี้ตามข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายและพยานหลักฐานที่เข้าสู่สำนวนโดยชอบและโดยสุจริตไม่รับฟังการชี้นำจากฝ่ายใด ๆ แม้แต่หัวหน้า คสช. ผู้กุมชะตาและอำนาจรัฐที่พูดชี้นำคนในสังคมเกี่ยวกับคดีของดิฉันเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคมที่ผ่านมาว่าถ้าเรื่องนี้ไม่ผิดแล้ว จะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาได้อย่างไรซึ่งคำพูดนี้เป็นการชี้นำ เสมือนหนึ่งว่ามีการกระทำความผิดแล้ว ทั้ง ๆ ที่ศาลที่เคารพยังไม่ได้ตัดสิน
ดิฉันเชื่อในคำกล่าวที่ว่า “ศาลเป็นที่พึ่งสุดท้ายของประชาชน”ดิฉันจึงขอความเมตตาต่อศาลได้โปรดพิจารณา พิพากษายกฟ้องโจทก์ด้วยค่ะ