อำมหิตนัก-ก็โดนคุกตลอดชีวิต?!"ศาลฎีกา" สั่งคุกตลอดชีวิต 4จำเลยโหดยิง M79 ถล่ม"กปปส."ราชดำริ-ทำเด็กไม่รู้อิโหน่อิเหน่ดับ 2 ศพ-เจ็บนับ 10 

ติดตามข่าวสารที่ www.tnews.co.th


อำมหิตนัก-ก็โดนคุกตลอดชีวิต?! "ศาลฎีกา" สั่งคุกตลอดชีวิต 4 จำเลยจอมโหด ยิง M 79 ถล่ม "ม็อบ กปปส." หน้าบิ๊กซีราชดำริราชดำริ ทำเอาเด็ก 2 พี่น้องไม่รู้อิโหน่อิเหน่ที่กำลังจะมาเดินห้างกับผู้เป็นพ่อดับอนาถทั้ง 2 คน รวมทั้งยังมีผู้เสียชีวิตอื่นอีก 1 ราย และมีผู้รับบาดเจ็บสาหัสอีก 9 ราย โดยคดีนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 23 ก.พ. 2557 ช่วงที่  "ม็อบ กปปส." กำลังไล่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ อย่างเข้มข้น


วันนี้ (23 ส.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานคดี ซึ่งเป็นผลมาจากความหลงผิดทางการเมืองสำคัญคดีหนึ่ง นั่นคือคดี 4 จำเลย ยิง M 79 ถล่ม "ม็อบ กปปส." หน้าบิ๊กซีราชดำริราชดำริ ทำเอาเด็ก 2 พี่น้องไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ที่กำลังจะมาเดินห้างกับผู้เป็นพ่อดับอนาถทั้ง 2 คน 


โดยวานนี้ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลฎีกาได้อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ 3734/2557 ที่อัยการศาลอาญากรุงเทพใต้พิเศษ 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายชัชวาล หรือชัช ปราบบำรุง, สมศรี หรือเยอะ มาฤทธิ์, นายสุนทร หรือทร ผิผ่วนนอก และนายทวีชัย หรือวี วิชาคำ เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดต่อชีวิตฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ทำร้ายร่างกาย, พ.ร.บ. อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนฯ พ.ศ. 2490 และความผิด ตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 โดยร่วมกันยิงกระสุนระเบิดขนาด 40 มม. ด้วยเครื่องยิง M 79 ไปตกลงบริเวณที่ชุมนุมของกลุ่ม กปปส. ด้านหน้าห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี ราชดำริ เมื่อวันที่ 23 ก.พ. 2557 ทำให้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย บาดเจ็บสาหัส 9 ราย


โดย คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 4 ก.ย. 58 โดยพิพากษาว่า ทั้ง 4 จำเลยมีความผิดตามฟ้อง ให้ประหารชีวิตสถานเดียว แต่คำให้การของจำเลยเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา จึงลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยทั้ง 4 ไว้ตลอดชีวิต และให้จำเลยร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนผู้บาดเจ็บ 534,700 บาท ด้วย ต่อมาจำเลย ยื่นสู้คดี ซึ่งศาลอุทธรณ์ มีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และจำเลยก็ได้ยื่นฎีกาสู้คดีอีกครั้ง
 

ล่าสุด วานนี้ศาลฎีกาได้พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ให้ตัดสินประหารชีวิต ในข้อหาร่วมกันฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และพกพาอาวุธไปที่สาธารณะลง 2 ปี แต่การสารภาพชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา จึงลดโทษ 1 ใน 3 ในข้อหาร่วมกันฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ลดโทษคงเหลือจำคุกตลอดชีวิต และพกพาอาวุธคงเหลือจำคุก 1 ปี 4 เดือน เมื่อรวมโทษแล้วศาลให้ลงโทษเพียงสถานเดียวคือ "จำคุกตลอดชีวิต" เท่านั้น นอกจากนี้ศาลสั่งให้ริบเครื่องยิงกระสุนระเบิด M79 และเครื่องกระสุนไว้เนื่องจากเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ก่อเหตุ ส่วนรถยนต์ทั้ง 3 คันเป็นเพียงพาหนะที่ใช้อำนวยความสะดวกในการกระทำความผิด จึงไม่สามารถริบได้ ให้คืนเจ้าของ


 

ว่ากันตามข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ หากพิจารณาจากแรงจูงใจคดีนี้มีกลิ่นอายของการเมืองอยู่มาก เพราะนายชัชวาล 1 ในผู้ต้องหา ได้สารภาพขณะถูกควบคุมตัวว่า "นายต้อม" ไม่ทราบชื่อและนามสกุลจริง แต่ทราบว่าเป็นลูกน้องของ "นายอารีย์ ไกรนรา" ซึ่งขึ้นมาเป็นอดีตหัวหน้าการ์ด นปช. ตั้งแต่ยุคม็อบเสื้อแดงปี 52-53 เป็นผู้จ้างวานให้ลงมือก่อเหตุ โดยได้รับค่าจ้างเป็นอาวุธปืน 2 กระบอก อย่างไรก็ดี ต่อกรณีนี้ นายอารีย์ ซึ่งถูกพาดพิง ได้เข้าแจ้งความต่อ พ.ต.ท.วรพงษ์ ภวเวส พนักงานสอบสวน กก. 1 บก.ป. ที่กองบังคับการปราบปราม  ต่อกรณีดังกล่าว โดยอ้างว่า ไม่รู้จัก และไม่เคยเห็นหน้าตาผู้ต้องหาในคดีนี้ และการว่าจ้างให้ก่อเหตุก็ไม่เป็นความจริง ขณะที่ นายทวีชัย อีก 1 ผู้ต้องหา ให้การรับสารภาพต่อกรณีขณะทำแผนประกอบรับคำสาพภาพเช่นกันว่า ตนเป็นผู้ยิงลูกระเบิดเอง โดยยิงจากรถที่กำลังวิ่งใช้ความเร็วประมาณ 40 ถึง 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เมื่อถึงจุดยิงจึงชะลอรถ และยิงลูกระเบิดไปในทิศทางสะพานข้ามแยกประตูน้ำ โดยเขาระบุชัดเจนว่า มีเป้าหมายคือ พื้นที่ชุมนุมของ กปปส. ซึ่งถือเป็นขั้วตรงข้ามทางการเมืองกับพวกตน
 

นอกจากนี้ หากมองที่ทนายความที่สู้ความให้จำเลยทั้ง 4 ซุ่งได้แก่ น.ส.ภาวิณี ชุมศรี ที่เป็นทนายความของ "ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน" ก็เป็นที่ชัดเจนว่า เป็นศูนย์ฯ ที่มักส่งทนายมาช่วยเรื่องคดีให้กับคนเสื้อแดงตลอดเวลาเช่นกัน