- 24 ส.ค. 2560
ติดตามรายละเอียด : http://www.tnews.co.th
คลิกเพื่อชมคลิป...
ติดตามกันต่อเนื่อง กับกรณี 2 คดีใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 25 สิงหาคม 2560 จากมูลฐานเริ่มต้นคดีหมายเลขดำที่ อม.25/2558 กรณี นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรมว.พาณิชย์ กับ นายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์ และพวก รวม 28 ราย ตกเป็นจำเลยในความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานรัฐ (ฮั้วประมูล) พ.ศ.2542 มาตรา 4, 9, 10, 12 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใดๆ ใช้อำนาจโดยทุจริตสร้างความเสียหายแก่รัฐ, ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต สร้างความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด มาตรา 157 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 4, 123 และ 123/1
จากนั้นก็เป็นกำหนดนัดฟังคำพิพากษาในคดีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลยในคดีหมายเลขดำ อม. 22/2558 ที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย ในความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ และเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่ง หรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่ง หรือหน้าที่โดยมิชอบฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และความผิดตาม พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 กรณีละเลยไม่ดำเนินการระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งทำให้รัฐเสียหายกว่า 5 แสนล้านบาท
อย่างไรก็ตามทั้ง 2 กรณีนี้ถูกจับตายิ่งว่าเป็นเหตุเป็นผลที่เชื่อมโยงกันโดยตรง ในแง่มุมว่าต้องเฝ้าคำวินิจฉัยของศาลฎีกาฯว่ามูลฐานคำฟ้องเพียงพอให้เชื่อได้ว่าการขายข้าวในระบบจีทูจีที่นายบุญทรง และคณะรับผิดชอบนั้นมีการทุจริตเกิดขึ้นหรือไม่ ?? ขณะเดียวกันหากเกิดกรณีทุจริตแล้ว น.ส.ยิ่งลักษณ์จำเป็นต้องรับผิดชอบหรือไม่ ?
ขณะที่จากการตรวจค้นจากคำแถลงปิดคดีของน.ส.ยิ่งลักษณ์ในฐานะจำเลยคดี ระบุความตอนหนึ่งว่า “ ดิฉันไม่ได้เพิกเฉย ละเลย และไม่มีอำนาจระงับยับยั้งโครงการตามอำเภอใจ กระบวนการ ขั้นตอน และวิธีการบริหารนโยบายรับจำนำข้าวเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรี
การดำเนินโครงการเมื่อเป็นการดำเนินการตามนโยบายของคณะรัฐมนตรีที่แถลงต่อรัฐสภา ดิฉันในฐานะนายกรัฐมนตรีผู้กำกับดูแลให้มีการปฏิบัติให้เป็นไปตามนโยบายไม่อาจดำเนินการหรือสั่งการได้โดยลำพัง จึงได้กำหนดมาตรการ หลักเกณฑ์ และวิธีการ ในการดำเนินการในรูปแบบคณะกรรมการเพื่อ ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมรับผิดชอบ เพราะการดำเนินโครงการ มีความเกี่ยวข้องกับกระทรวง กรม ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจต่างๆ จำนวนมาก อีกทั้งเกี่ยวข้องกับข้อกฎหมาย ข้อบังคับ และระเบียบที่มีอยู่หลายฉบับ ที่ดิฉันเองในฐานะนายกรัฐมนตรีไม่สามารถดำเนินการใด ๆ ได้โดยลำพัง
ดิฉันได้แสดงเจตนาอย่างชัดแจ้งด้วยการกำหนดให้มีแนวทางในการป้องกันการทุจริต และป้องกันความเสียหายที่ดิฉันได้ให้นโยบายและสั่งการในที่ประชุม กขช. ครั้งแรก ก่อนเริ่มดำเนินโครงการให้กับคณะทำงานและฝ่ายปฏิบัติว่า “ให้เคร่งครัดในเรื่องกระบวนการของข้าวให้เกิดความสุจริต โปร่งใส และสั่งการให้มีการบูรณาการและปรับปรุงระบบกระบวนการรับจำนำข้าวให้เกิดความสุจริตและโปร่งใส นำความชอบธรรมและความชัดเจนกับทุกหน่วยงาน และเน้นย้ำว่าการดำเนินงานในส่วนที่ผ่านมามีสิ่งใดคงค้างให้นำมาปรับปรุงและแก้ไขให้เสร็จสิ้น ให้มีการดูแลในเรื่องการทุจริตไม่ให้เกิดขึ้น” ซึ่งศาลที่เคารพสามารถตรวจสอบได้จากรายงานการประชุม กขช. ครั้งที่ 1/2554
ดิฉันในฐานะประธาน กขช. ไม่ได้ละเลยและไม่ได้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เพราะดิฉันได้มอบหมายให้บุคคลระดับรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่มีหน้าที่รับผิดชอบเป็นประธานในการประชุม กขช. แต่ละครั้ง เพราะจะใกล้ชิดติดตามงานได้ดีกว่าดิฉันที่มีภารกิจอีกมากมาย หากมีประเด็นพิจารณาใดย่อมเป็นหน้าที่ของรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องที่จะมารายงานต่อคณะรัฐมนตรีและดิฉันในฐานะนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา
ดิฉันขอกราบเรียนว่า ทั้ง ๆ ที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้คณะรัฐมนตรีมีความรับผิดชอบร่วมกัน แต่โจทก์เข้าใจผิดว่านายกรัฐมนตรีมีอำนาจเต็มในมือคนๆ เดียว และจะใช้อำนาจอย่างไรก็ได้ ดิฉันขอเรียนว่า แม้ดิฉันเป็นนายกรัฐมนตรีแต่ในการปฏิบัติงาน กระทรวงและส่วนราชการที่ปฏิบัติงานร่วมกับคณะกรรมการ กขช. และคณะอนุกรรมการต่าง ๆ มีหน้าที่ความรับผิดชอบตามกฎหมายของแต่ละฝ่ายกำกับไว้อยู่แล้วดิฉันจึงไม่สามารถใช้อำนาจตามอำเภอใจ และไม่อาจกระทำการใด ๆ ที่จะไปล้วงลูกสั่งการ หรือชี้นำในระดับปฏิบัติ เพื่อประโยชน์ของผู้หนึ่งผู้ใด…”
บทสรุปท้ายสุด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในกล่าวบางช่วงบางตอนว่า “ตลอดระยะเวลาที่ดิฉันดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ดิฉันไม่ได้ปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ไม่เคยกระทำการใด ๆ ที่ปล่อยปละละเลย และปกปิดข้อมูล หรือหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ ให้ความร่วมมือกับทุกองค์กร แม้กระทั่ง ป.ป.ช. ดิฉันไม่มีเจตนาพิเศษ ที่จะก่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคลใด และไม่มีเจตนาทุจริตค่ะ
ดิฉันใคร่ขอความเป็นธรรมว่า การที่จะพิจารณาว่าดิฉันได้ปฏิบัติหน้าที่โดยชอบเหมาะสมและเพียงพอหรือไม่นั้น ควรพิจารณาจากปัจจัยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายโครงสร้างการทำงาน รวมทั้งความรับผิดชอบของฝ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ในช่วงเวลาและสถานการณ์ที่ดิฉันเป็นนายกรัฐมนตรี ...”
จากข้อมูลทั้งหมดทีนี้มาพิจารณาในเชิงหลักการเพิ่มเติม โดยก่อนหน้านี้ “สำนักข่าวทีนิวส์” เคยนำเสนอประเด็นเกี่ยวเนื่องกับการทำหน้าที่ปปช. ในเชิงตั้งคำถามว่าจริงหรือไม่ ปปช.เร่งรัดคดีรับจำนำข้าว ภายใต้ประจักษ์พยานหลักฐานหลายแง่มุม เป็นที่รับรู้ทั่วไปในมุมมองสาธารณะ เพราะมีข้อเท็จจริงว่าเรื่องนี้ทางพรรคประชาธิปัตย์ ได้เริ่มต้นดำเนินการยื่นเรื่องต่อปปช.ตั้งแต่ปลายปี 2555 แล้ว และมีขั้นตอนกระบวนการพิจารณามาเป็นลำดับ
ส่วนการพิจารณาว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์จะเข้าข่ายความผิดตามคำฟ้องหรือไม่ อย่างไร ต้องย้ำว่าสุดท้ายต้องถือเอาดุลยพินิจขององค์คณะศาลฎีกาฯเป็นสำคัญ ว่ารายละเอียดคำฟ้องของอัยการสูงสุดจะสามารถรับฟังได้หรือไม่ หรือมีข้อเท็จจริงควรพิจารณาอย่างไร ??
ขณะที่อีกแง่มุมหนึ่งควรพิจารณาประกอบกันว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้แถลงนโยบายรัฐบาล ไว้เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2554 ระบุชัดเจนว่าเรื่องการประกาศรับจำนำข้าวเปลือกเจ้าและข้าวเปลือกหอมมะลิ ถูกกำหนดไว้ในข้อที่ 1.11 เรื่องการยกระดับสินค้าเกษตรและให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุน
โดยสาระสำคัญที่น.ส.ยิ่งลักษณ์แถลงต่อสภาฯ อันเป็นสภาวะที่ต้องรับผิดชอบ ก็คือ “รัฐบาลจะดูแลราคาสินค้าเกษตรให้มีเสถียรภาพที่เหมาะสม คำนึงถึงกลไกราคาตลาดโลก ... และนำระบบรับจำนำสินค้าเกษตรมาใช้ในการสร้างความมั่นคงด้านรายได้ให้แก่เกษตรกร เริ่มต้นจากการรับจำนำข้าวเปลือกเจ้าและข้าวเปลือกหอมมะลิ ความชื้นไม่เกินร้อยละ 15 ที่ราคาเกวียนละ 15,000 บาท และ 20,000 บาทตามลำดับ ... ”
และจากนโบายรับจำนำข้าาว ก็นำมาสู่การแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 153/2554 ลงวันที่ 8 กันยายน 2554 โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ พร้อมปรากฏรายชื่อผู้เกี่ยวข้องถึง 24 คน โดยมีนายกรัฐมนตรี หรือตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ทำหน้าที่เป็นประธานกรรมการ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทวงพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นรองประธาน ฯลฯ
ถามว่าคณะกรรมการ กขช. มีอำนาจหน้าที่อะไร พบว่า กขช. มีหน้าที่เสนอกรอบนโยบายและยุทธศาสตร์ข้าวต่อครม.ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เพื่อให้การจัดการข้าวสอดคล้องกันทั้งระบบและมีการพัฒนาต่อเนื่อง รวมถึงติดตาม กำกับดูแลการปฏิบัติตามนโยบาย มาตรการ โครงการที่อนุมัติ และดำเนินการอื่นตามที่นายกรัฐมนตรีและครม.มอบหมาย
ดังนั้นในจุดนี้แม้จะมีคำอธิบายจากน.ส.ยิ่งลักษณ์ ว่าในฐานะนายกรัฐมนตรีไม่ได้เป็นผู้รับผิดชอบ หรือสั่งการนโยบายเพียงบุคคลเดียว แต่โดยนัยสำคัญของการดำเนินนโยบายรับจำนำข้าว ตัวบุคคลอย่าง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ทั้งสถานะนายกรัฐมนตรีและประธานกขช. ย่อมต้องถือว่ามีส่วนสำคัญสูงสุดในฐานะผู้รับผิดชอบการดำเนินนโยบายหรือไม่ อย่างไร ด้วยเนื่องจากน.ส.ยิ่งลักษณ์ยืนยันเองว่าคณะรัฐมนตรีทั้งหมดเป็นผู้พิจารณาด้วยตัวเอง และนโยบายรับจำนำข้าวก็มีจุดเริ่มต้นจากคนใกล้ชิด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ...
ประเด็นนี้สำคัญ เพราะสามารถตรวจสอบพบว่า ในวันที่ 12 พ.ย. 2556 ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ในฐานะรมว.ยุติธรรมในขณะนั้น และนั่งอยู่ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์มานานกว่า 2 ปี นับจากวันแรกที่เข้าบริหารประเทศ ได้เคยแสดงมุมมองต่อกรณีครหาเรื่องโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งถูกพรรคประชาธิปัตย์นำเข้าร้องต่อปปช. ผ่านการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ด้วยความรู้สึกส่วนตัว ว่า “กรณีนี้น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่เกี่ยวข้อง แต่ยอมรับว่ามี 1-2 รัฐมนตรีที่น่าเป็นห่วงในพฤติกรรมจากการตรวจสอบของปปช.” (คลิกชมเสียงสัมภาษณ์ ร.ต.อ.เฉลิม)
และจากมุมมองของ ร.ต.อ.เฉลิม นี้เองย่อมทำให้เป็นข้อพิจารณาว่า ข้อกล่าวหาเรื่องการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ทำไมร.ต.อ.เฉลิมถึงยอมรับว่าโดยส่วนตัวมีความเป็นห่วง ผลการปฏิบัติงานรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบ และแม้ว่าจะมั่นใจว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่เกี่ยวข้อง แต่ทำให้เกิดข้อพิจารณาตามมาทันทีว่ากรณีนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรีและประธานกขช. จะไม่ระแคะระคายข้อบ่งชี้ที่เกี่ยวโยงกับพฤติการณ์รัฐมนตรี เฉกเช่นที่ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวถึงเลยแม้แต่น้อยเลยเชียวหรือ จึงไม่มีการดำเนินการในเชิงกฎหมาย หรือสอบสวนข้อเท็จจริงกับผู้เกี่ยวข้อง
นอกเหนือจากการเปลี่ยนแปลงตัวบุคคลผู้รับผิดชอบเท่านั้น ภายหลังสถานการณ์ทุกอย่างสุกงอม กลายเป็นวิกฤตย้อนกลับมาสร้างความวุ่นวายให้กับน.ส.ยิ่งลักษณ์และคณะรัฐบาลในเวลาต่อมา .. และคำตอบจากคำวินิจฉัยขององค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า ย่อมจะถือเป็นที่สุดในการทำให้ทุกข้อสงสัยเช่นนี้หมดสิ้นไปสักที ??
ขอบคุณคลิป : ยิ่งลักษณ์ แฟนคลับ