บทความโดย... สถาพร เกื้อสกุล 26 สิงหาคม 2560

เหตุใด “กัมพูชา” ถึงกล้าแข้งข้อกับ “สหรัฐฯ” สวนเรื่องประชาธิปไตย ให้ประเทศต้นแบบได้อย่างเจ็บแสบไปถึงทรวง!!!

 

16 มกราคม 2560 การซ้อมรบร่วมกองทัพสหรัฐฯ - กัมพูชาอังกอร์ เซนทิเนล
ประจำปีนี้ จำเป็นต้องยกเลิก เนื่องจากทหารกองทัพกัมพูชาไม่สามารถเข้าร่วมได้อย่างเต็มที่ อันเนื่องมาจากเหตุการณ์ สำคัญ 2 เหตุการณ์ภายในประเทศคือ การเลือกตั้งท้องถิ่นจะมีขึ้นในเดือน มิถุนายน และโครงการรณรงค์กวาดล้างอาชญากรรมที่เกี่ยวพันกับยาเสพติด ระยะเวลา 6 เดือน


ส่วนทางด้านนายเจย์ รามาน โฆษกสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำกัมพูชา ยืนยันว่า การซ้อมรบร่วมกับกัมพูชาประจำปี พ.ศ. 2560 และ 2561 ถูกยกเลิกแล้ว

เหตุใด “กัมพูชา” ถึงกล้าแข้งข้อกับ “สหรัฐฯ” สวนเรื่องประชาธิปไตย ให้ประเทศต้นแบบได้อย่างเจ็บแสบไปถึงทรวง!!!

26 สิงหาคม 2560 ... (สถาพร เกื้อสกุล)

รอบสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นที่ฮือฮาพอสมควร หลังจากมีข่าวว่าทางด้านสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ได้ทำการ สั่ง
ปิดองค์กรพัฒนาเอกชน หรือเอ็นจีโอของสหรัฐฯ และมีคำสั่งให้พนักงานต่างชาติทั้งหมดเดินทางออกจากประเทศภายใน 7 วัน ซึ่งก็เกิดคำถามว่า เกิดอะไรขึ้นกับทางด้านกัมพูชา และ สมเด็จฮุนเซน เพราะเมื่อก่อนนั้นกัมพูชา ก็ถือว่าเป็นมิตรที่ใกล้ชิดพอสมควรกับทางด้านสหรัฐฯ ขณะที่เมื่อตอนเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทางด้านสมเด็จฮุนเซน ก็ออกมาเชียร์ทางด้านนายนัลด์ ทรัมป์ ให้ขึ้นมาเป็นผู้นำสหรัฐฯ โดยเขาได้กล่าวสนับสนุนนายโดนัลด์ ทรัมป์ ต่อหน้านักเรียนนายร้อยตำรวจในกรุงพนมเปญ ว่า

"พูดตรง ๆ นะ ผมอยากให้ทรัมป์ชนะจริง ๆ ถ้าทรัมป์ชนะ โลกจะเปลี่ยนไป และสถานการณ์ต่าง ๆ ก็จะดีขึ้น ทรัมป์เป็นนักธุรกิจ และในฐานะนักธุรกิจ ทรัมป์ไม่ต้องการสงครามหรอก"
 

นอกจากนี้ นายกฯ กัมพูชายังระบุถึงปัญหาความขัดแย้งระหว่างสหรัฐและรัสเซียว่า "ถ้าหากทรัมป์ชนะ ทรัมป์กับปูตินก็อาจจะเป็นเพื่อนกันได้" สอดคล้องกับที่ นายวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซียก็เคยกล่าวยกย่องนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่า "เป็นคนฉลาดและมีพรสวรรค์"





แต่หลังจากนั้นไม่นาน หลายสิ่งหลายอย่างก็เปลี่ยนแปลงไป
16 มกราคม 2560 การซ้อมรบร่วมกองทัพสหรัฐฯ - กัมพูชาอังกอร์ เซนทิเนล
ประจำปีนี้ จำเป็นต้องยกเลิก เนื่องจากทหารกองทัพกัมพูชาไม่สามารถเข้าร่วมได้อย่างเต็มที่ อันเนื่องมาจากเหตุการณ์ สำคัญ 2 เหตุการณ์ภายในประเทศคือ การเลือกตั้งท้องถิ่นจะมีขึ้นในเดือน มิถุนายน และโครงการรณรงค์กวาดล้างอาชญากรรมที่เกี่ยวพันกับยาเสพติด ระยะเวลา 6 เดือน

 

เหตุใด “กัมพูชา” ถึงกล้าแข้งข้อกับ “สหรัฐฯ” สวนเรื่องประชาธิปไตย ให้ประเทศต้นแบบได้อย่างเจ็บแสบไปถึงทรวง!!!


ส่วนทางด้านนายเจย์ รามาน โฆษกสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำกัมพูชา ยืนยันว่า การซ้อมรบร่วมกับกัมพูชาประจำปี พ.ศ. 2560 และ 2561 ถูกยกเลิกแล้ว แต่โครงการแลกเปลี่ยนและการฝึกฝนทางทหารจะไม่ได้รับผลกระทบ

 

หลังการเลือกตั้งท้องถิ่นในเดือน มิถุนายน แล้วทางด้านกัมพูชาจะมีการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2561 พล.อ.ชุม โสเจียต กล่าวว่า การตัดสินใจไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ที่กระชับมากขึ้น ระหว่างกัมพูชากับจีน กิจกรรมต่างๆ ของเราจะถูกตัดลดลง เรามีงานด้านความมั่นคงจำนวนมากต้องทำ ขณะที่ในปี 2559 กองทัพเรือจีนซ้อมรบร่วมทางทะเลกับกองทัพเรือกัมพูชาเป็นครั้งแรก เหล่าทัพกัมพูชาได้รับการสนับสนุนจากกองทัพจีนเป็นอย่างมาก ทางด้านการฝึกฝนและอุปกรณ์ รวมถึงรถจิ๊ป เครื่องยิงจรวด และเฮลิคอปเตอร์

เหตุใด “กัมพูชา” ถึงกล้าแข้งข้อกับ “สหรัฐฯ” สวนเรื่องประชาธิปไตย ให้ประเทศต้นแบบได้อย่างเจ็บแสบไปถึงทรวง!!!

ผ่านไปเพียง 4 เดือน ในเดือนเมษายน ปรากฏว่า ก็มีข่าวรอยร้าวระหว่างสหรัฐฯ กับกัมพูชา ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เมื่อ รัฐบาลกัมพูชาบอกให้หน่วยช่วยเหลือของกองทัพเรือสหรัฐฯเดินทางออกนอกประเทศทันที จากการเปิดเผยของสถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำกรุงพนมเปญ การจากไปของกองพันทหารช่างเคลื่อนที่กองทัพเรือสหรัฐฯ U.S. Navy Mobile Construction Battalion หรือที่รู้จักกันในชื่อ หน่วยผึ้งทะเล (the Seabees) หมายความว่า โครงการช่วยเหลือต่างๆ ในกัมพูชารวม 20 โครงการ ต้องยกเลิก รวมถึงการก่อสร้างโรงเรียน และโรงพยาบาล

สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำกรุงพนมเปญ กล่าวว่า รัฐบาลกัมพูชาได้แจ้งต่อสถานทูตฯ เกี่ยวกับการตัดสินใจเลื่อนโครงการของหน่วยผึ้งทะเล ออกไปโดยไม่มีกำหนด ส่วนทางด้าน พล.อ. ชุม โสเจียต รัฐมนตรีกลาโหมกัมพูชา กล่าวว่า ยังไม่ทราบการตัดสินใจของรัฐบาล

ซึ่งในเวลานั้นบรรดานักวิเคราะห์ก็มองกันว่า กัมพูชาไปไกลว่าประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในการกระชับความสัมพันธ์กับจีน และตีตัวออกห่างสหรัฐฯ โดยเฉพาะหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ รับหน้าที่เป็นผู้นำสหรัฐฯ แม้ว่าสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาจะเคยแสดงความชื่นชมต่อนายโดนัลด์ ทรัมป์ ความสัมพันธ์ตึงเครียดจากการที่สหรัฐฯวิจารณ์รัฐบาลกัมพูชาแก้ไขกฎหมายเพื่อคุกคามฝ่ายค้าน และรัฐบาลกัมพูชาเรียกร้องให้สหรัฐฯยกเลิกหนี้สิน
500 ล้านดอลลาร์ ตั้งแต่ยุคสงครามในคริสต์ทศวรรษ 1970

 

 

 

กัมพูชาประกาศระงับการซ้อมรบร่วมกับกองทัพสหรัฐฯ ที่กำหนดจะมีขึ้นในเดือน มิถุนายน โดยอ้างเหตุผลธุระยุ่งต้องจัดการเลือกตั้งท้องถิ่น และเมื่อปีที่แล้วกองทัพเรือจีนร่วมฝึกซ้อมกับกองทัพกัมพูชาเป็นครั้งแรก เหล่าทัพกัมพูชาได้รับความช่วยเหลือจากจีนเป็นจำนวนมาก ทั้งการฝึกอบรมและอุปกรณ์ คาร์ล ธาเยอร์ นักวิเคราะห์ความมั่นคงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของมหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ และอาจารย์พิเศษวิทยาป้องกันประเทศออสเตรเลีย กล่าวว่า การลดความสัมพันธ์ทางทหารกับกัมพูชา ถือเป็นความเสื่อมถอยสำหรับยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ ในภูมิภาค แต่สำหรับฮุน เซน ท้ายที่สุดก็จะเป็นผู้สูญเสียเช่นกัน เพราะจะทำให้กัมพูชาต้องพึ่งพาจีนฝ่ายเดียวมากขึ้น
 

เหตุใด “กัมพูชา” ถึงกล้าแข้งข้อกับ “สหรัฐฯ” สวนเรื่องประชาธิปไตย ให้ประเทศต้นแบบได้อย่างเจ็บแสบไปถึงทรวง!!!

จนมาถึงเรื่องล่าสุด สัปดาห์นี้ สมเด็จฮุนเซน ได้ทำการสั่งปิดองค์กรพัฒนาเอกชน หรือเอ็นจีโอของสหรัฐฯ และมีคำสั่งให้พนักงานต่างชาติทั้งหมดเดินทางออกจากประเทศภายใน 7 วัน โดยคำสั่งดังกล่าวนั้นถูกถ่ายทอดผ่านทางแถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา ที่ระบุว่า องค์กรพัฒนาเอกชน สถาบันประชาธิปไตยแห่งชาติ (NDI) ได้ทำกิจกรรมต่างๆ ในกัมพูชาโดยไม่ได้ขึ้นทะเบียนหรือจ่ายภาษีอย่างถูกต้อง และพนักงานต่างชาติของสถาบันแห่งนี้ต้องเดินทางออกจากประเทศภายใน 7 วัน นอกจากนั้นแล้ว ทางกระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชา ยังระบุว่า บรรดาองค์กรเอ็นจีโออื่น ๆ ก็เช่นเดียวกัน ที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายจะต้องพ้นจากประเทศภายใน 7 วันเช่นกัน

 

 

 


ขณะที่สื่อมวลชน ได้รายงานข่าว กรณี ของ องค์กรพัฒนาเอกชน สถาบันประชาธิปไตยแห่งชาติ (NDI) กำลังถูกตรวจสอบเรื่องกฎระเบียบและภาษี เนื่องจากสถาบันแห่งนี้ ได้ให้การช่วยเหลือพรรคฝ่ายค้านในการที่จะโค่นล้มรัฐบาล ขณะที่ข้อมูลที่ระบุบนเว็บไซต์ของสถาบันประชาธิปไตยแห่งชาติชี้แจงว่าหน่วยงานทำงานกับพรรคการเมือง รัฐบาล และกลุ่มประชาสังคม เพื่อเสริมสร้างสถาบันประชาธิปไตย

สมเด็จฮุนเซน เพิ่งจะทำการสั่งให้หนังสือพิมพ์กัมพูชารายวันจ่ายภาษีที่เกิดขึ้นในช่วง
10 ปีที่ผ่านมา โดยระบุว่าหากหนังสือพิมพ์ไม่ยอมจ่ายภาษีดังกล่าวก็จะถูกปิดดำเนินการ นอกจากนั้นยังกล่าวตำหนิสหรัฐฯ และเอ็นจีโอ โดยกล่าวหาหน่วยงานเหล่านี้ระดมทุนเพื่อพยายามที่จะล้มล้างรัฐบาล ขณะที่ฝ่ายค้านกล่าวหาว่าสมเด็จฮุนเซนและพรรคประชาชนกัมพูชากำลังปราบปรามนักวิจารณ์อย่างหนัก และเมื่อสัปดาห์ก่อนผู้แทนพิเศษด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติเตือนว่ากัมพูชาดูเหมือนจะเข้าใกล้สภาวะวิกฤติ

ในขณะที่ทางด้านสหรัฐฯ โดย น.ส.ฮีทเธอร์ เนาเอิร์ต โฆษกหญิงกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ตอบโต้เรื่องดังกล่าวทันที ว่าสหรัฐฯ มีความวิตกกังวลอย่างยิ่ง ต่อบรรยากาศทางประชาธิปไตยที่ตกต่ำที่เกิดขึ้นในกัมพูชาตลอดช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี สมเด็จฮุน เซน เพิ่มความเข้มงวดในการควบคุมการทำงานของสื่อมวลชนและองค์กรอิสระไม่แสวงผลกำไร หรือเอ็นจีโอ มากขึ้นอย่างชัดเจน ขณะที่สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำกรุงพนมเปญ ตั้งคำถามผ่านเฟซบุ๊ค ว่าการที่รัฐบาลกัมพูชาทำเช่นนี้ถือเป็นการยึดมั่นตามแนวทางประชาธิปไตยหรือไม่

 

เหตุใด “กัมพูชา” ถึงกล้าแข้งข้อกับ “สหรัฐฯ” สวนเรื่องประชาธิปไตย ให้ประเทศต้นแบบได้อย่างเจ็บแสบไปถึงทรวง!!!

 

ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงทางด้าน กระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาออกแถลงการณ์สวนสหรัฐฯ ทันควันเช่นกัน โดยมีสาระสำคัญว่าชาวกัมพูชามีความรู้และความเข้าใจเป็นอย่างดีเกี่ยวกับความหมายของกระบวนการทางประชาธิปไตย โดยไม่จำเป็นต้องขอรับคำชี้แจงจากสหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศที่มีระบอบประชาธิปไตยนองเลือดและป่าเถื่อน ความเคลื่อนไหวทั้งหมดที่เกิดขึ้นล้วนเป็นการดำเนินนโยบายเพื่อปกป้องอธิปไตยของประเทศ


เป็นอย่างไรล่ะ กับท่าทีต่อต้านสหรัฐฯ ของสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางบรรยากาศของการเตรียมจัดการเลือกตั้งทั่วไป ที่จะมีขึ้นในช่วงกลางปีหน้า และผู้นำกัมพูชาเชื่อว่าประเทศตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐฯ ได้ให้การสนับสนุนพรรคฝ่ายค้าน ที่ทำผลงานได้เป็นอย่างดีในการเลือกตั้งท้องถิ่นเมื่อเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมา ยิ่งเพิ่มความท้าทายให้กับฝ่ายรัฐบาล ขณะที่ทางประเทศตะวันตก ที่นำโดยสหรัฐฯ เองก็เห็นว่าขณะนี้กัมพูชา กำลังเอนเอียงไปเข้าด้วยกับจีน แล้วก็เริ่มถอยห่างกับสหรัฐฯ มากยิ่งขึ้น ดังนั้น การที่พวกเขาเข้าไปสนับสนุนฝ่ายค้านให้มีกำลังมากยิ่งขึ้นในการต่อสู้กับรัฐบาลของสมเด็จฮุนเซน ก็คงจะเป็นทางออกที่จะป่วนกัมพูชาได้เป็นอย่างดี หรือถ้าโชคดีไปกว่านั้นฝ่ายค้านชนะการเลือกตั้งใหญ่ขึ้นมา ก็เท่ากับว่าจะสามารถดึงกัมพูชากลับมาอยู่ภายใต้อาณัติอีกครั้งนั่นเอง