- 28 ส.ค. 2560
คุ้มมั้ย!!! ขสมก. จ่อโละกระเป๋ารถเมล์ 2000 คน ปี 62 จ้างออกคนละ 1 ล้านบาท!!!(รายละเอียด)
นายพิชิต อัคราทิตย์ รมช.คมนาคม ได้เปิดเผยภายหลังการประชุมเกี่ยวกับแผนการจัดการบริหารหนี้สินขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิเช่น สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.)สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. ว่า ขสมก. ได้นำเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้สิน ซึ่ง ณ เดือนม.ค. 2560 มียอดรวมทั้งสิ้น 103,598.543 ล้านบาท
ทั้งนี้ ขสมก.ได้ นำเสนอทางเลือกในการแก้ปัญหานี้ออกเป็น3แนวทาง ประกอบด้วย 1. ให้รัฐรับภาระหนี้สิ้นทั้งหมด 103,598.543 ล้านบาท 2. ให้รัฐรับภาระเฉพาะหนี้สินที่เกิดมาจากนโยบายภาครัฐ วงเงินรวมทั้งสิ้น 84,898.651 ล้านบาท ซึ่งแบ่งออกเป็นงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ (PSO) หรือเงินที่เกิดจากการตรึงราคาค่าโดยสารอัตราที่ต่ำกว่าต้นทุนตามนโยบายของรัฐบาล เฉลี่ยคันละ3,000 บาท/ วัน และบริการรถเมล์ฟรี เฉลี่ยคันละ 10,000 บาท/วัน ซึ่งมีจำนวน800 คัน/ปี และส่วนที่เหลืออีก 18,699.892 ล้านบาท ขสมก.จะรับภาระเอง 3. ให้รัฐรับภาระPSO ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน เนื่องจากปัจจุบันขสมก. มีต้นทุนสูงกว่ารายได้ โดยรัฐจะต้องรับภาระรวม 55,798.089 ล้านบาท ส่วนที่เหลือ 47,800.453 ล้านบาท ขสมก. จะเป็นผู้รับภาระ
นายยุกต์ จารุภูมิ รองผู้อำนวยการ ฝ่ายบริหาร รักษาการในตำแหน่งผอ. ขสมก.กล่าวถึงแนวทางการ ลดต้นทุนด้านบุคคลกรว่า ปัจจุบัน ขสมก.มีบุคคลกร รวม 12,900 คน ส่วนใหญ่เป็นพนักงานขับรถและพนักงานเก็บค่าโดยสาร ซึ่งปัจจุบัน มีสัดส่วนพนักงานเก็บค่าโดยสาร 4.8 คน/คัน ถือว่าสูงมาก จะต้องปรับลดให้เหลือ 2.4 คน/คัน
ซึ่งตามแผนฟื้นฟูตั้งเป้าที่จะต้องปรับลดพนักงานเก็บค่าโดยสารรวม 2000 คัน ในปี 2562 เพื่อให้สอดคล้องกับระบบตั๋ว โดย ขสมก. เตรียมที่จะเสนขอจัดสรรงบประมาณปี 2561 วงเงินรวม 2,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในโครงการเออร์รี่พนักงานเก็บค่าโดยสารจำนวน 2,000 คน หรือเฉลี่ยคนละ 1 ล้านบาทแล้ว เบื้องต้นทราบว่ามีพนักงานจำนวนมากที่แสดงความสมัครใจพร้อมเข้าร่วมโครงการ
นายพิชิตกล่าวว่า ที่ประชุมมีความเห็นว่าแผนฟื้นฟูที่ ขสมก. นำเสนอยังขาดความชัดเจนเรื่องแนวทางแก้ปัญหาการขาดทุนที่ชัดเจน จึงขอให้ขสมก.กลับไปจัดทำรายละเอียดเพิ่มเติมให้ครบถ้วนก่อน ที่จะนำเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้ รวมทั้งให้ไปหาข้อสรุปเรื่องตัวเลขต้นทุนการเดินรถมาตรฐานให้ชัดเจนก่อน เนื่องจากขสมก.จะต้องนำต้นทุนดังกล่าวมาใช้เป็นตัวเลขในการคำนวนวงเงินอุดหนุนที่จะนำไปใช้ในแผนไขปันหาหนี้สินขสมก.ในอนาคต นอกจากนี้ ยังขอให้ขสมก. ปรับแก้แผนฟื้นฟูให้สอดคล้องเชื่อมโยงกับแผนยุทธศาสตร์ภายในองค์กรซึ่งจะต้องมีการรวมแผนการป้องกันและแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่นภายในองค์กรเข้าไปด้วย
นายพิชิตกล่าวถึงภาระหนี้ภาพรวมของขสมก. 103,598.543 ล้านบาท ว่า ปัจจุบันขสมก. มีภาระขาดทุนเฉลี่ยปีละ 5,000 ล้านบาท ซึ่งตามแผนฟื้นฟูที่ขสมก. นำเสนอตั้งเป้าที่จะลดภาระค่าใช้จ่ายใน 2 ส่วนคือ ลดภาระค่ามใช้จ่ายหนี้ดอกเบี้ยจ่าย 3,000 ล้านบาท ลดภาระค่าใช้จ่ายการซ่อมบำรุงและเชื้อเพลิง 2,000 ล้านบาท โดยระบุว่าหากสามารถลดค่าใช้จ่ายซ่อมบำรุงและเชื้อเพลิงลงได้ จะลดภาระขาดทุนได้มาก และหากลดต้นทุนด้านบุคคลกรได้เพิ่มเติมอีกจะทำให้ ขสมก. เริ่มมีกระแสเงินสดที่เป็นบวก
“ขสมก. จะต้องกลับไปทบทวนแผนฟื้นฟูใหม่ให้ชัดเจน เพราะแผนเดิมมีแค่หลักการ ยังไม่มีแผนปฏิบัติการหรือแอกชั่นแพลนที่ชัดเจน และต้องไปปรับให้แผน ฟื้นฟูเชื่อมโยงกับ แผนยุทธศาสตร์ภายในด้วย เพราะที่ประชุมต้องการเห็นความชัดเจนเรื่องของรายได้ในอนาคตของขสมก. ที่จะต้องแข่งขันกับเอกชนเต็มตัวหลังจากที่ปรับบทบาทใหม่ ต้องมีแผนแก้ไขปัญหาขาดทุนว่าจะทำอย่างไรบ้าง จะจัดการกับหนี้ 1.03 หมื่นล้านบาทอย่างไร โดยจะต้องนำผลสรุปเสนอที่ประชุมอีกครั้งภายใน2 เดือน โดยขสมก. จะต้องเลือกเลยว่า อยากได้แนวทางแก้ไขปัญหาหนี้ แบบไหน ตามแนวทางที่ 1, 2 หรือ 3 ซึ่งบอร์ด ขสมก. จะต้องเป็นคนเลือก จากนั้นกระทรวงจะพิจารณาอีกครั้งว่าจะเห็นชอบตามนั้นหรือไม่”