บทเรียนชีวิต จาก รักเกียรติ ถึงสรยุทธ... มอง ‘ความทุกข์’ ให้เห็น ‘ความจริง’ ..ว่าเงินทอง ไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต

หลังจากที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาคดี นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ในฐานะกรรมการผู้จัดการ บจก.ไร่ส้ม ถูกศาลชั้นต้นตัดสินจำคุกพร้อมกับ น.ส.มณฑา ธีระเดช ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ บจก.ไร่ส้ม คนละ 20 ปี ลดเหลือ 13 ปี 4 เดือน ในความผิดมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดพนักงานในองค์การ หรือหน่วยงานรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 6, 8, 11 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 และ 91 เมื่อครั้งทำรายการ "คุยคุ้ยข่าว" กับทาง อสมท. ช่วงวันที่ 4 ก.พ. 2548 ถึง 28 เม.ย.2549 โดยร่วมกับ นางพิชชาภา บุญโต หรือ เอี่ยมสะอาด อดีตเจ้าหน้าที่จัดคิวโฆษณาอสมท. ไม่รายงานการโฆษณาเกินเวลา ทำให้อสมท. เสียหาย 138 ล้านบาท โดยศาลอุทธรณ์พิพากษายืนสั่งจำคุก13 ปี..

 

โดยนายสรยุทธ ได้กล่าวอย่างห้าวหาญว่า  

"พี่ไม่เคยคิดหนี เพราะหนีไปก็ไม่จบ การหนีไม่ใช่การแก้ปัญหา หนีไปอยู่เมืองไทยคนก็จำหน้าพี่ได้หมด ไปอยู่เมืองนอก คนไทยที่อยู่เมืองนอกก็รู้จัก ถูกจับตัวส่งกลับอยู่ดี หรือชีวิตที่เหลือต้องมาซ่อนตัวตลอดชีวิต และอาจจะไม่ได้กลับมาเจอแม่ อยู่ในเรือนจำยังมีจุดสิ้นสุด อยู่ในนี้ลำบากแต่ต้องค่อยๆปรับตัว พี่ได้คิดถึงสิ่งที่เลวร้ายที่สุดแล้วว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ถ้าต้องไปถึงจุดนั้น พี่ก็ต้องอยู่ให้ได้ ชีวิตต้องดำเนินต่อไป ไม่ต้องห่วง พี่อยู่ได้"

 

 

 

จากเหตุการณ์ของนายสรยุทธ ที่เกิดขึ้นนั้น มีความคล้ายคลึงกันกับคดีดังในอดีตของ “นายรักเกียรติ สุขธนะ”  รัฐมนตรีผู้ต้องหาคดีทุจริต ...

ที่ได้กลายเป็นบทเรียนชีวิตให้แก่ใครหลายๆคนว่า สุดท้ายแล้วเงินก็ไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต...

ย้อนคดี นายรักเกียรติ (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข 14 พฤศจิกายน 2540 (ลาออก 15 ก.ย. 2541)) เป็นรัฐมนตรีคนแรก ที่ต้องโทษจำคุกในคดีทุจริตรับสินบน ตามการชี้มูลความผิดของคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ฐานทุจริตรับเงินสินบน 5 ล้านบาทจากบริษัทยา ทำให้สาธารณสุขจังหวัดต้องจัดซื้อยาในราคาแพงกว่าปกติตั้งแต่ 50 % ถึงกว่า 300% ในพื้นที่ 34 จังหวัดทั่วประเทศ ความเสียหายโดยประมาณ 181.7 ล้านบาท

 

 ตั้งแต่ปี  2546 มีโทษจำคุกคดีเช็ค 30 เดือน ได้รับพระราชทานอภัยโทษ เหลือ 20 เดือน และ โทษจำคุกผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ 15 ปี ได้รับพระราชทานอภัยโทษเหลือ 7 ปี 6 เดือน รวมจำคุกไปแล้ว 5 ปี เหลือโทษจำคุกอีก 2 ปี 6 เดือน ( และได้รับการพักโทษ)

โดย เขากล่าวหลังได้อิสรภาพว่า ดีใจที่ได้รับโทษ ทำให้ยังมีแผ่นดินอยู่

ต่อมา นายรักเกียรติได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนา โดยได้รับฉายาว่า รกฺขิตธมฺโม จำพรรษาและปฏิบัติธรรมอยู่ ณ ศูนย์ปฏิบัติธรรมวังพญานาค วัดใหม่สุขธนะศรีนคราราม บ้านวังชัย ตำบลเวียงคำ อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี

 

 

  โดยได้ กล่าวตอนหนึ่งว่า

“ในสมัยที่เป็นนักการเมือง เคยดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีถึง 5 สมัย ตกอยู่ในวังวนของสุรา นารี ภาชี กีฬาบัตร ถ้าอยากไปต่างประเทศก็มีคนพาไป เมื่อไปทุกประเทศต้องได้ผู้หญิงหมดทุกประเทศ มิฉะนั้นเรียกว่าไปไม่ถึง และถ้าอยากนอนกับนางงามจักรวาลคนไหน ก็ชี้ได้เลยเดี๋ยวจัดมาให้ อีกทั้งถ้าอยากเล่นคาสิโน ก็ได้เล่น ถ้าเล่นเสียก็มีคนมาตามจ่าย เป็นการใช้ชีวิตแบบสุดๆบนความประมาท”

 

          พระรักเกียรติ กล่าวว่า ตอนนั้นคิดว่ามีความสุขที่สุดแล้ว แต่ที่จริงไม่ใช่เลย

อ่านเรื่องของพระรักเกียรติแล้วก็อดย้อนกลับมามองเรื่องของนายสรยุทธไม่ได้  เมื่อชีวิตของนายสรยุทธเดินทางมาถึงจุดนี้ก็คงจะเห็นแล้วว่าทรัพย์สินเงินทองที่สะสมมามากมายมหาศาล (ด้วยการทุจริต) นั้น ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ในวันที่ต้องเผชิญกับผลของการกระทำที่ตนเองก่อไว้ และก็เป็นเพราะเงินทองเองนั่นแหละที่ทำให้นายสรยุทธต้องตกอยู่ในชะตากรรมเช่นนี้

แต่ในสถานการณ์ที่กำลังอยู่ในภาวะวิกฤตินี้ก็ยังมีแสงสว่างเล็ก ๆ เกิดขึ้นในชีวิต นั่นก็คือการที่นายสรยุทธไม่หนีความผิดและตัดสินใจเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เพราะนี่หมายถึงการที่นายสรยุทธพร้อมจะยอมรับผลแห่งการกระทำของตนเอง

ก็อย่างที่นายสรยุทธพูดไว้นั่นแหละว่า อยู่ในเรือนจำแม้จะลำบาก แต่มันก็จองจำนายสรยุทธให้ลำบากแค่เพียงร่างกาย  แต่ในทางจิตใจนั้น นายสรยุทธยังมีอิสระอย่างเต็มที่  หากการถูกจำคุกในครั้งนี้ทำให้นายสรยุทธสำนึกผิด การสำนึกผิดนี้ก็จะเป็นจุดเริ่มต้นของการกลับเนื้อกลับตัวด้วยการเรียนรู้ว่าชีวิตใหม่สามารถเริ่มต้นได้เสมอ  และเมื่อวันนั้นมาถึง นายสรยุทธก็คงจะรู้แล้วว่าอะไรกันแน่ที่เป็นความสุขที่แท้จริงของชีวิต ...