“อย่าคิดว่าพานทองแท้จะไม่หนี พ่อกับอายังหนีไปแล้ว"! เสียงเตือนจาก"วัชระ" ก่อน DSI ได้ข้อสรุปแจ้งข้อหา“ลูกชายนายใหญ่” คดีฟอกเงินกรุงไทยวานนี้

ติดตามข่าวสารที่ www.tnews.co.th

 

“อย่าคิดว่าพานทองแท้จะไม่หนี พ่อกับอายังหนีไปแล้ว"!! เสียงเตือนดังๆ จาก "วัชระ-ปชป." ถึงรัฐบาล กรณีคดีทุจริตเงินกู้ธนาคารกรุงไทย ที่ใกล้จะหมดอายุความในปี 2561 โดยหนึ่งในจำเลยจากคดีนี้คือ นายพานทองแท้ ชินวัตร ลูกชายนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีผู้อื้อฉาว ในข้อหาร่วมกันฟอกเงิน หลังผู้เกี่ยวข้องในคดีหลายราย ซึ่งก็คืออดีตผู้บริหารธนาคารฯ ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาจำคุกไปคนละ 18 ปี เมื่อวันที่ 26 ส.ค. 2558 ที่ผ่านมา

 

โดยคดีนี้เกิดขึ้นในช่วงปี 2555 ยุคที่ นายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งใช้อำนาจทางการเมืองให้ผู้บริหารธนาคารกรุงไทย ปล่อยสินเชื่อกลุ่ม "บมจ.กฤษดามหานคร" ที่มีสถานะอยู่ในกลุ่มลูกหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของธนาคาร และไม่สามารถอนุมัติสินเชื่อให้ได้ แต่ผู้บริหารฯ กลับมีการอนุมัติสินเชื่อให้กลุ่มกฤษดามหานครกว่า 10,000 ล้านบาท...จนนำมาสู่การสูญสิ้นอิสรภาพคนละ 18 ปีดังกล่าว 

 

อย่างไรก็ตาม คดีนี้อัยการสูงสุด ซึ่งเป็นฝ่ายโจทก์ได้ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลยที่ 1 ด้วย แต่เขาหลบหนีคดีจึงให้ออกหมายจับ และจำหน่ายคดีเฉพาะส่วนของ พ.ต.ท.ทักษิณไว้เป็นการชั่วคราว เพราะพยานในคดีระบุชัดว่า บิ๊กบอสเป็นผู้สั่งการให้ธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้ในครั้งนี้ 

 

ส่วน "พานทองแท้" ผู้บุตรชาย ที่เข้ามาเกี่ยวพันกับคดีนี้ เพราะถูกพาดพิงว่าได้รับการโอนเงินจากกลุ่มบริษัท กฤษดามหานคร ในครั้งนั้นด้วย ทำนองผลประโยชน์ต่างตอบแทน...คือเมื่ออำนาจรัฐจัดการให้กรุงไทยปล่อยกู้ให้ได้...ทั้งที่กฤษดามหานครอยู่ในกลุ่มไม่สามารถอนุมัติสินเชื่อให้ได้...คนจัดการก็ควรได้อะไรบ้างทำนองนั้น โดยมีหลักฐานสำคัญเป็นเช็คสั่งจ่าย "พานทองแท้" จำนวน 26 ล้านบาท แต่มีการยกเลิกในวันเดียวกับที่มีการตีแคชเชียร์เช็คออกไป


ต่อกรณีนี้  นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่เกาะติดเรื่องนี้มาโดยตลอด ได้ออกมาเปิดเผยล่าสุดว่า จากหลักฐานชัดแล้วว่า กลุ่มบริษัท กฤษฎามหานคร สั่งจ่ายเช็คให้นายพานทองแท้ 2 ใบ ซึ่งชี้ชัดว่าพานทองแท้มีส่วนในการฟอกเงิน แต่ที่น่าแปลกใจคือดีเอสไอทำคดีนี้มาเกือบ 4 ปี แต่กลับไม่มีข้อสรุป" นายวัชระ ตั้งข้อสังเกตในครั้งนั้น

พร้อมระบุด้วยว่า ตนจะไปยื่นหนังสือถึง DSI เพื่อให้เร่งพิจารณาสรุปและดำเนินคดีกับนายพานทองแท้ เพราะหากชะล่าใจนายพานทองแท้อาจจะอาศัยจังหวะนี้หนีคดีไปอยู่ต่างประเทศเช่นเดียวกับนายทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็เป็นได้
       
         
“อย่าคิดว่าพานทองแท้จะไม่หนี พ่อกับอายังหนีไปแล้ว เขาไม่ยอมให้ลูกชายติดคุกหรอก ผมสงสัยว่าที่ไม่สั่งฟ้องพานทองแท้เป็นเพราะมีการต่อรองอะไรกันหรือเปล่า ถ้าดีเอสไอไม่ทำเรื่องนี้ให้กระจ่างภายใน 30 วัน คุณไพสิฐ ก็ควรลาออกจากตำแหน่งอธิบดีดีเอสไอ” อดีต ส.ส. ประชาธิปปัตย์ ให้ความเห็น

 

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางการจับตามองของสังคม ทั้งการตั้งข้อสังเกตของนายวัชระในวันนั้น ทำให้คดีนี้กลับมาอยู่ในความสนใจคนไทยอีกครั้ง เหตุที่เส้นตายของคดีงวดใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว โดยล่าสุดวานนี้พบว่า เพจเฟซบุ๊ก "กูต้องได้ 100ล้านจากทักษิณแน่ๆ" ซึ่งเป็นเพจที่เคลื่อนไหวประเด็นทางการเมืองของกลุ่มคนเสื้อแดง ได้ออกมาโจมตี DSI เพื่อปกป้องนายพานทองแท้ โดยระบุทำนองว่า "คดีปล่อยกู้กรุงไทย มีธงสั่ง ให้เล่นงานพานทองแท้" และถูกทาง DSI สวนกลับไปในทันที

 

แถมล่าสุด...วานนี้ที่ ประชุมคดีฟอกเงินจากการทุจริตอนุมัติเงินกู้ของธนาคารกรุงไทย ซึ่งประกอบไปด้วย พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ , นายขจรศักดิ์ พุทธานุภาพ อัยการพิเศษฝ่ายการสอบสวน 3 และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ได้ร่วมพิจารณาคดีที่ยืดเยื้อนี้อีกครั้ง และมีมติสั่งให้แจ้งข้อกล่าวหา "นายพานทองแท้" ในข้อหาร่วมกันฟอกเงิน โดยมีกรอบกำหนดระยะเวลาการทำคดีให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา 1 เดือน ก่อนออกหมายเรียกให้ผู้ต้องหาเข้ามาชี้แจงแสดงพยานหลักฐานต่อไป


มติดังกล่าวทำให้เส้นทางข้างหน้าของนายพานทองแท้ ดูจะไม่สดใสเสียแล้ว...และถึงแม้ว่า หนทางของคดีจะยังอีกยาวไกล เพราะเพิ่งมี "มติสั่งให้แจ้งข้อกล่าวหา" และยังต้องสู้กันอีกหลายศาล แต่ใครจะยืนยันได้ว่า ท้ายที่สุด...ปลายทาง..."นายพานทองแท้" ที่เป็นบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของนายใหญ่...จะไม่เดินซ้ำรอยกับ "ผู้บิดาและอาสาว"...ดังที่นายวัชระตั้งข้อสังเกตไว้

 

 ขอบคุณข้อมูลประกอบการเขียนจาก : นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์