- 07 ก.ย. 2560
ติดตามข่าวสารที่ www.tnews.co.th
อีกด้านของเหรียญ!! "เสรี" จวก"พระปกเกล้า" ทำโพลปอปั้น "ทักษิณ" ทำงานนอกหน้าที่-แถมไม่ใช่ผลที่แท้จริง เพราะจะเอาคะแนนความนิยมแต่ละยุคมาเทียบกันไม่ พร้อมระบุสถาบัฯ ควรเป็นหน่วยงานสนับสนุนงานด้านกฎหมาย และวิชาการให้กับรัฐสภามากกว่าจะทำภารกิจอื่นได้ แนะควรปฏิรูปตัวเอง หากไม่เปลี่ยนแปลงแนะยุบองค์กรทิ้ง
วันนี้ (7 ก.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานกรณีสถาบันพระปกเกล้า ทำโพลในเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อมั่นของ 6 นายกรัฐมนตรี ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ในช่วงระยะเวลา 15 ปีที่ผ่าน ตั้งแต่ปี 2546 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งระบุว่า นายทักษิณ ชินวัตร ได้รับความนิยมเป็นอันดับ 1 นั้น
ล่าสุดต่อกรณีนี้ นายเสรี สุวรรณภานนท์ อดีต สปท. ได้ออกมาให้ความเห็นว่า คณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ด้านการเมือง เคยเสนอในรายงานการปฏิรูปประเทศด้านการเมืองไปแล้วว่า ให้มีการปฏิรูปสถาบันพระปกเกล้า เพราะควรให้เป็นหน่วยงานสนับสนุนงานทางกฎหมาย และงานทางวิชาการให้กับรัฐสภาโดยตรง มากกว่าที่จะไปทำภารกิจอื่นใด
การทำโพลในเรื่องดังกล่าว คงทำให้เกิดความฮือฮาเท่านั้น แต่ไม่ใช่ผลสรุปที่แท้จริงเพราะจะเอาความนิยมของคนในแต่ละยุค แต่ช่วงเวลามาให้คะแนนเปรียบเทียบกันคงไม่ได้ อีกทั้งการสรุปผลโพลในเรื่องดังกล่าว เป็นประเด็นที่อ่อนไหวต่อความคิดเห็นของประชาชนในปัจจุบัน ที่มีความแตกแยกเป็นฝักเป็นฝ่ายอย่างกว้างขวางทั่วประเทศ ขาดเหตุผลที่แท้จริง อันเป็นการตอกย้ำทำให้เกิดการแตกแยกของประชาชนในบ้านเมืองให้เป็นฝักเป็นฝ่ายมากขึ้น เพราะเรื่องอย่างนี้เปรียบเทียบอย่างไรก็ไม่ได้ความจริง และพึงต้องระมัดวังอย่างยิ่งต่อการเสนอเรื่องในลักษณะดังกล่าว เพราะอาจขยายวงทำให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมื่องได้
"ภารกิจของสถาบันพระปกเกล้า จึงสมควรถึงเวลาให้มีการปฏิรูป แต่หากยังคิดหรือยังทำอยู่แบบเดิม ทำแต่งานวิจัย งานอบรมหลักสูตรต่างๆ ที่ประชาชนทั่วไปไม่อาจเข้าถึงได้ ทำให้เกิดความสัมพันธ์เฉพาะกลุ่มอำนาจและกลุ่มอิทธิพลต่างๆ โดยเฉพาะพวกพ่อค้า กลุ่มทุน ข้าราชการระดับสูง นักการเมือง และบุคคลากรในองค์กรอิสระต่างๆ ยิ่งเป็นการสร้างเหลื่อล้ำให้กับประชาชนมากยิ่งขึ้น และยังมาทำโพลดังกล่าวที่ไม่ใช่ภารกิจ จึงทำให้เกิดปัญหามากขึ้น ที่สำคัญไม่อาจทำให้เกิดประโยชน์ต่องานของรัฐสภาอันเป็นองค์กรต้นสังกัด ที่สถาบันพระปกเกล้าควรต้องทำหน้าที่เป็นกลไกงานทางกฎหมายหรืองานทางวิชาการ ให้กับรัฐสภาโดยตรง ทำให้เสียงบประมาณที่มาจากภาษีอากรของประชาชนไปปีละหลายร้อยล้านบาท ซึ่งผ่านมาหลายปีเท่ากับว่าได้เสียงบประมาณไปเป็นพันล้านบาทแล้ว โดยหากไม่มีการปฏิรูป ก็ควรยุบเลิกไปเลยจะดีกว่า" นายเสรี กล่าวทิ้งท้าย