อุ้มคนชั่ว..รังแกคนดี!!"พุทธะอิสระ"แฉเป็นฉากๆ "พงศ์พร" เจอข้อหาล้ำเส้น มาเฟียในผ้าเหลือง?? ลั่น!! รัฐบาลกำลังอ่อนแอ..ยอมสยบศิโรราบให้คนชั่ว?

อุ้มคนชั่ว..รังแกคนดี!! "พุทธะอิสระ" แฉเป็นฉากๆ "พงศ์พร" เจอข้อหาล้ำเส้น มาเฟียในผ้าเหลือง?? ลั่น!! รัฐบาลกำลังอ่อนแอ..ยอมสยบศิโรราบให้คนชั่ว??

ดูถ้าจะเป็นเรื่องใหญ่เสียแล้ว เมื่อภายหลัง เมื่อมีการเผยแพร่หนังสือในนามของสำนักงาน พระพุทธศาสนาแห่งชาติ ลงนามโดย พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพื่อส่งถึงนายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง การรับโอนและการให้ไปช่วย ราชการ ไม่ถูกต้อง ได้หลุดออกมาสู่สาธารณะ 

และนอกจากนั้นยังได้มีหนังสือคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ พ.ต.ท.พงศ์พร รับผิดชอบการตรวจราชการเขต 8 ซึ่งเป็นพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และมีผล ในวันที่ 6 กันยายน ที่ผ่านมา   ดังนั้นก็ต้องกลับไปทบทวนต้นเรื่อง ลำดับขั้นตอน ดังกล่าวกันเสียก่อย ว่าเรื่องนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร
คณะรัฐมนตรี มีติเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม ที่ผ่านมา ให้ย้าย พ.ต.ท.พงศ์พร จากตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ให้ย้ายไปดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรีแทน เพื่อผลประโยชน์ต่อทางราชการ นับตั้งแต่วันที่ทรง พระกรุณาโปรดเกล้าฯเป็นต้นไป 

สาระสำคัญ ระบุว่า ด้วยสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ได้เสนอขอรับโอน พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานปลัดนายกรัฐมนตรี เพื่อประโยชน์ทางราชการและทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี ซึ่งได้พิจารณาแล้วว่าเห็นชอบด้วยตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ จึงเห็นสมควรให้นำเรื่องดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
จากนั้นเมื่อมาพิจารณาหนังสือคัดค้านของพ.ต.ท.พงศ์พร ในทักท้วงการ โอนตนเองไป เป็นผู้ตรวจราชการ สำนักนายกรัฐมนตรี สำนักปลัดสำนัก นายกรัฐมนตรี(สปน.) ว่าเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง  บางช่วงระบุว่า

ในข้อ 2 เมื่อมติคณะรัฐมนตรี มีผลให้พ.ต.ท.พงศ์พร พ้นจากตำแหน่ง นับตั้งแต่วันที่ทรง พระกรุณาโปรดเกล้าฯฉะนั้น เท่ากับว่า พ.ต.ท.พงศ์พร จึงยังอยู่ในตำแหน่งนี้และมีอำนาจหน้าที่ใน ตำแหน่งทุกประการ จนกว่าจะเข้าเงื่อนไขดังกล่าว

และหนังสือของพ.ต.ท. พงศ์พร ได้ระบุอีกด้วยใน ข้อ 3ซึ่งอ้างว่า..
“การขอและการให้ยืมตัวกระผมไปช่วยราชการ ทั้งที่รู้ว่าคณะรัฐมนตรีมีมติข้างต้น อาจขัดต่อมติคณะรัฐมนตรี และอาจกระทบพระราชอำนาจได้”
ไม่เพียงเท่านั้น พ.ต.ท. พงศ์พร ยังได้ระบุอีกด้วยว่า .. การอนุมัติให้ยืมตัวตนเองของนายออมสินนั้น เป็นการพิจารณาเพียงว่า สำนักนายก รัฐมนตรีไม่เสียหาย แต่ไม่ได้พิจารณาว่าสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งไม่สังกัดสำนัก นายกรัฐมนตรี กระทรวงหรือทบวง เพราะการให้ยืมตัวหัวหน้าส่วนราชการขณะที่มีรองหัวหน้าส่วนราชการซึ่งใกล้เกษียณ ในวัน1 ตุลาคม 2560 ซึ่งเหลือระยะเวลา 23 วัน เท่านั้น 

ดังนั้นการยืมตัวพ.ต.อ.พงศ์พรไป และให้รองผอ.พศ ท่านดังกล่าวรักษาการแทน ดูเหมือน จะเป็นเรื่องที่ ทำให้ “สำนักงานพระพุทธศาสนา” เสียหายได้ เนื่องจาก เมื่อถึงวันที่ 2 ตุลาคม 2560  จะไม่มีบุคล ใดมาปฏิบัติหน้าที่ บริหารราชการแผ่นดินใน สำนักงานพระพุทธศาสนา ตำแหน่งผอ.พศ. จะว่างทันที
ขณะเดียวกันเมื่อวันที่ 5 ก.ย. ที่ผ่านผลการประชุมครม.แจ้งว่า ที่ประชุมครม.เห็นชอบตามที่นายออมสิน เสนอให้รับโอน นายมานัส ทารัตน์ใจ อธิบดีกรมศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ โดยผ่านความเห็นชอบของนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ 

ทั้งนี้ นายมานัส จะสามารถเข้ามารับตำแหน่งผอ.พศ.อย่างเป็นทางการ ก็ต่อเมื่อ จนกว่าจะมีพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ตั้งแต่งอย่าง เป็นทางการ
ดังนั้นจึงเกิดประเด็นข้อสงสัยจากสังคม ว่าเมื่อมีมติครม.สั่งการเป็นที่เรียบร้อย แล้วนั้น ทำไมนายออมสินถึงไม่รอ จนกว่าจะมีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งแต่งอย่าง เป็นทางการ เหตุใดจึงรีบร้อนขอตัวพ.ต.ท.พงศ์พร ให้ไปช่วยราชการ

ทั้งนี้เป็นเหตุมาจากการเคลื่อนไหวของมหาเถรสมาคมตามที่ปรากฏเป็นข่าวก่อนหน้านี้ใช่หรือไม่ และสิ่งที่เกิดขึ้น ตัวนายออมสินเองก็พยายามออกมาฏิเสธอยู่ตลอดเวลา

ล่าสุด เฟซบุ๊คส่วนตัวของ "หลวงปู่พุทธะอิสระ" ได้โพสต์ข้อความแสดงความเห็นเรื่องดังกล่าวโดยระบุว่า 

อ้อ... รู้แล้วล่ะ คุณพงศ์พร เจอข้อหาล้ำเส้น ไม่มีสัมมาคารวะนี่เองจึงถูกใบแดง
๑๑ กันยายน ๒๕๖๐
เราลองมาเปิดหู เปิดตา เปิดใจ ท่งไปในโลกแห่งสมมุติกันดูอีกซักที เผื่อจักได้เกิดโลกียปัญญากับเขาบ้าง
สังคมไทยยังคร่ำครึ จมปลักอยู่กับความเชื่อผิดๆ ว่า
ที่มีอยู่แต่ละชนชั้นยังมีเส้นแบ่งโดยไม่แยกถูกแยกผิด
ในครั้งพุทธกาล พระพุทธองค์ทรงทำลายเส้นแบ่งชนชั้นนี้ด้วยหลักของคุณธรรม
ทรงชี้ให้เห็นว่าแม้จักบวชมานานเท่าใดก็ตาม หากไม่มีคุณธรรม ไม่บรรลุถึงคุณธรรมใดๆ ก็ยังไม่ชื่อว่าเป็นพระมหาเถระ
ซึ่งต่างกับผู้ที่บวชเข้ามาแม้เพียงวันเดียว หากเป็นผู้ทรงคุณวิเศษ บรรลุถึงคุณธรรมอันเอกอุ ถึงจะอยู่ในสถานภาพของสามเณร เช่น
สามเณรเรวตตะ ผู้ได้บรรลุพระอรหันต์ ผู้เป็นน้องชายของพระสารีบุตร
องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแนะนำให้ภิกษุสงฆ์เรียกสามเณรเรวตะรูปนั้นว่า พระมหาเถระ
จึงเป็นที่มาของวลีสุภาษิตไทยที่ว่า
คนจะแก่ แก่ความรู้ ใช่อยู่นาน
คนจะสวย สวยจรรยา ใช่ตาหวาน
คนจะรวย รวยศีลทาน ใช่บ้านโต
แต่ยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะในกรรมการมหาเถรสมาคม เห็นตรงกันข้ามกับพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ไม่เว้นแม้แต่คนในรัฐบาล คสช.ที่ประกาศว่าจะยกย่องข้อกฎหมายและคุณธรรมเป็นเครื่องมือในการบริหารราชการแผ่นดิน
ข้อหาล้ำเส้นไม่มีสัมมาคารวะ จึงถูกจับโยนให้คุณพงศ์พร ที่บังอาจไปตรวจสอบการทุจริตในการทำหน้าที่ของกรรมการมหาเถร
โดยเฉพาะการปฏิบัติหน้าที่ของสมเด็จบางรูปที่แก่แต่ไม่มีความละอาย ไปแต่งตั้งผู้มีมลทินตามพระธรรมวินัยให้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัด จนนำมาซึ่งคุณพงศ์พรต้องไปยื่นหนังสือร้องเรียนต่อสมเด็จพระสังฆราช
พวกบรรดากองเลขาหน้าม้าทั้งหลายจึงรวมหัวกันยื่นใบแดงต่อรัฐบาลเพื่อผลักดันให้เปลี่ยนตัว ผอ.สำนักพุทธ
แล้วรัฐบาลก็บ้าจี้ กลัวว่าสังคมพุทธ โดยเฉพาะพวกพระมาเฟียจะโทษว่า รัฐบาลกำลังส่งคุณพงศ์พรมากลั่นแกล้งและคอยจับผิดคณะสงฆ์ดังที่พวกนักบวชจีวรแดงพยายามโพนทะนามาตลอด
รัฐบาลจึงรับลูกด้วยการลงดาบย้ายคุณพงศ์พรออกจากการปฏิบัติหน้าที่ ผอ.สำนักพุทธเสีย เพื่อตัดปัญหากระทบกระทั่งกับแก๊งค์มาเฟียใหญ่ที่ฝังตัวอยู่ในผ้าเหลือง
งานนี้จึงกลายเป็นภาพอุ้มคนชั่ว รังแกคนดีอย่างที่เห็น
จะด้วยเจตนาหรือไม่ แต่ผลที่ออกมามันกลายเป็นการแสดงความอ่อนแอของรัฐบาล คสช. ที่ยอมสยบศิโรราบให้แก่อธรรมอย่างยากที่จะแก้ตัว
พวกเราก็ได้แต่หวังว่าท่านนายกจะรู้สึกตัว หาวิธีแก้ไขตามที่รับปากไว้ว่าจะปฏิรูปวงการคณะสงฆ์และกฎหมายปกครองคณะสงฆ์ให้สำเร็จ
นี่คงจะเป็นวิธีแก้ภาพลบให้กลับมาเป็นภาพลักษณ์ที่ทำให้คนทั้งแผ่นดินรักศรัทธาได้
พวกเรายังมีความหวังว่าท่านนายกจะทำได้อย่างที่พูด
และโปรดอย่าไปเกรงกลัวต่ออำนาจของพวกโจรปล้นพระพุทธศาสนาเลย
มันจะไม่เป็นผลดีต่อชาติและประชาชนเลย

ขอบคุณข้อมูลจาก หลวงปู่พุทธะอิสระ (Buddha Isara)