ติดตามเรื่องราวดีๆ อีกมากมายได้ที่ http://www.tnews.co.th

เข้มขลังยิ่งนัก!! หลวงพ่ออี๋ ตำนาน..พระยกผ้าเหลืองโบกไปโบกมา ในสงครามโลกครั้งที่ ๒ ช่วยชีวิตชาวสัตหีบให้รอดพ้นจากระเบิดอย่างน่าอัศจรรย์ !!

            หลวงพ่ออี๋ พุทธสโร ท่านเป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ท่านเป็นที่พึ่งในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ซึ่งตรงกับสมัยรัชกาลที่ ๘ ของไทย อาจมีคนที่ยังไม่ลืมภาพอดีตนั้น ภาพของหลวงพ่ออี๋ที่ยกผ้าเหลืองโบกไปโบกมา พร้อมทั้งยืนบริกรรมพระคาถาอย่างสงบนิ่ง ลูกระเบิดที่หย่อนมาจากเครื่องบินฝ่ายสัมพันธมิตรหมายถล่มตลาดและฐานทัพเรือให้ราบเป็นจุล กลับเบี่ยงเบนปลิวไปตกในทะเลจนหมดสิ้น ไม่อาจทำลายฐานทัพเรือและชีวิตของประชาชนชาวอำเภอสัตหีบได้ นับแต่นั้นมาหลวงพ่ออี๋จึงได้รับการกล่าวนามถึงในความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ ช่วยรักษาชีวิตให้รอดปลอดภัยกันถ้วนหน้า ท่านเป็นอาจารย์ของพระเกจิอาจารย์ไทยชื่อดังมากมายเช่น หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ (อดีตเจ้าอาวาสวัดละหารไร่)

เข้มขลังยิ่งนัก!! หลวงพ่ออี๋ ตำนาน..พระยกผ้าเหลืองโบกไปโบกมา ในสงครามโลกครั้งที่ ๒ ช่วยชีวิตชาวสัตหีบให้รอดพ้นจากระเบิดอย่างน่าอัศจรรย์ !!

             หลวงพ่ออี๋ พุทธสโร ท่านเป็นชาวจังหวัดชลบุรี ท่านเกิดเมื่อปี พ.ศ.๒๔๐๘ ตรงกับปลายรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ท่านเป็นบุตรของนายขำ และนางเอียง ทองขำ อุปสมบทเมื่ออายุวัยเข้าเบญจเพส ณ วัดอ่างศิลานอก อำเภอศรีราชา โดยมีพระอุปัชฌาย์จั่น วัดเสม็ด เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์ทิม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์แดง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า พุทธสโร ได้อยู่ศึกษาธรรมมะและเวทมนตร์ต่างๆกับพระอาจารย์แดงถึง ๖ พรรษา กอ่นไปฝากตัวเป็นศิษย์กับ หลวงพ่อปาน วัดคลองด่าน ซึ่งช่วงนั้นมีชื่อเสียงมาก และท่านยังได้ออกธุดงควัตรไปทั่วทุกภาคของประเทศไทย เมื่อบังเกิดความกล้าแข็งทางจิต สัมฤทธิ์ในธรรมแล้ว จึงเดินทางกับมาสร้างวัดสัตหับขึ้น ใช้เวลาเพียง ๕ ปีจึงสมบูรณ์ ท่านได้ใช้วิชาอาคมอันแก่กล้ามาสร้างและปลุกเสกเครื่องรางของขลังต่างๆมาแจกกับศิษยานุศิษย์ โดยเฉพาะปลัดขิกนั้นโด่งดังที่สุดในเมืองไทย เป็นที่เลื่องลือในคุณวิเศษมาจนถึงทุกวันนี้ อีกทั้งยังมีชื่อว่าเป็นหนึ่งในคณาจารย์ ของกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ที่ท่านได้ถ่ายทอดวิชาอาคมให้ด้วย (ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเหล่าอาจารย์แห่ง กรมหลวงชุมพร ที่กรมหลวงท่านฝากตัวเป็นศิษย์)

           หลวงพ่ออี๋ ได้สร้างพระเครื่องรางต่างๆ ไว้มาก รวมทั้งปลัดขิกที่มีชื่อมาก (พอๆ กับหลวงพ่อเหลือ แปดริ้ว) ทั้งตะกรุด เสื้อยันต์ เหรียญ พระปิดตา "พระสาม" และ "พระสี่" (พรหมสี่หน้า) กล่าวกันว่าในระยะ พ.ศ.๒๔๘๓-๒๔๘๖ นั้น หลวงพ่ออี๋ก็มีของดีเกรียงไกรออกสู่สงครามอินโดจีนไปก็มาก ชื่อเสียงของท่านดังขนานไปกับหลวงพ่อจาด วัดบางกระเบา และหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอกทีเดียว พระเครื่องรางของขลังของหลวงพ่ออี๋มีสร้างออกมามากแบบเอาใน พ.ศ. ๒๔๘๔ และตาม พ.ศ. นี้เอง "พระสาม" และ "พระสี่" หรือ พระพรหมสี่หน้า ก็ได้กำเนิดตามออกมาด้วย พระทั้ง ๒ พิมพ์เป็นพระเนื้อเมฆพัด องค์หนึ่งทำเป็นพระ ๓ หน้าพระทับนั่งบนฐานบัวกลีบ (๓ หน้า ๓ องค์) ส่วนพระสี่หรือพรหมสี่หน้าก็ทำเป็นพระประทับนั่งบนฐานเขียงเหมือนกันทั้ง ๔ หน้า (๔ หน้า ๔ องค์) ด้านพุทธคุณมีทั้งแคล้วคลาด และคงกระพันชาตรี

           พระครูวรเวทมุนี (หลวงพ่ออี๋) ได้ให้ความสำคัญในเรื่องการศึกษาเป็นอย่างมาก ในสมัยนั้นท่านได้สร้างโรงเรียนประชาบาล ๑ หลัง ชื่อว่า "โรงเรียนบ้านสัตหีบ" ที่ย้ายมาตั้งที่ถนนบ้านนา ชาวบ้านเรียนว่า "โรงเรียนบ้านนา" ส่วนอาคารเรียนเดิมชื่อ "ศาลาธรรมประสพ" ปัจจุบัน คือ "ห้องสมุดของวัดสัตหีบ"

           ท่านหลวงพ่ออี๋เริ่มอาพาธในอวสานแห่งชีวิตครั้งนี้ ด้วยโรคฝีที่คอ ตั้งแต่เดือนมีนาคม ๒๔๘๙ แต่ท่านก็ไม่ได้ใส่ใจรักษานัก ท่านเคยปรารภว่ามันจะมาเอาชีวิตท่าน คงใช้แต่ยาของท่านเองบ้าง ปิดบ้าง พอกบ้าง ใช้น้ำมนต์บ้าง เรื่อยมาและไม่หยุดการรับนิมนต์ในที่ใด ๆ ทั้งสิ้น โรคฝีได้กำเริบขึ้นเป็นลำดับมา จนเข้าพรรษาแล้ว พิษของฝีจึงแสดงอาการให้ต้องพักทำวัตรสวดมนต์ กำลังของท่านเริ่มลดลง หัวฝีเล็กๆ ใต้คางด้านขวาก็เริ่มบวมมากขึ้น มีผู้ห่วงใยแนะนำท่านให้เข้าโรงพยาบาลผ่าตัดเสีย ท่านก็บอกว่า

"ช่างมันเถอะ เป็นกรรมเก่าของฉัน เจ้ากวางหนองไก่เตี้ย มันมาตามทวงหนี้แล้ว"

           เพราะท่านเคยบอกคนใกล้ชิดว่าชาติก่อนเคยไปยิงกวางตัวหนึ่งที่หนองไก่เตี้ย ถูกที่ซอกคอตาย กรรมนั้น จึงตามมาให้ผลแล้ว ท่านก็คิดว่าเป็นกรรมเก่า อยากจะชำระหนี้ให้เสร็จเสียที จึงไม่ได้สนใจรักษาทางแพทย์ปัจจุบัน แม้โรงพยาบาลก็ไม่ได้พูดถึง จนถึงเวลาที่ฝีสุกแก่จัด และโตขึ้นมาก จึงทวีความรุนแรงมากยิ่ง ทำให้กำลังร่วงโรยประกอบกับเข้าสู่วัยชราภาพมาก

เข้มขลังยิ่งนัก!! หลวงพ่ออี๋ ตำนาน..พระยกผ้าเหลืองโบกไปโบกมา ในสงครามโลกครั้งที่ ๒ ช่วยชีวิตชาวสัตหีบให้รอดพ้นจากระเบิดอย่างน่าอัศจรรย์ !!

           จนกระทั่งวันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ.๒๔๘๙ ตรงกับแรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีจอ เวลา ๒๐.๓๕ น. หลวงพ่ออี๋ท่านก็บอกให้พระที่นั่งเฝ้าพยาบาลแวดล้อมท่านอยู่ ช่วยประคองให้ท่านลุกขึ้นนั่ง แล้วสั่งไม่ให้ทุกคนแตะต้องตัวท่าน เสร็จแล้วท่านก็นั่งสมาธิตัวตรง เริ่มเข้าสมาธิ แล้วท่านมรณภาพในท่านั่งสมาธิ

          ชั่วครู่สิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึง ทำให้ทุกคนตกใจกันสุดขีดคือ ไม้กระดานแผ่นหนึ่ง ซึ่งตั้งพิงฝาผนังภายในกุฏิและตั้งอย่างนั้นมานานแล้ว ก็ล้มโครมลงมาฟาดกับพื้น และกระจกแผ่นหนึ่งที่ติดกับบานประตูตู้ ห่างจากไม้กระดานหลายเมตร ก็กระเด็นหลุดออกมาแตกกระจายทั่วพื้น ทั้งพระและลูกศิษย์วัดที่คอยนั่งเฝ้าพยาบาลแวดล้อมท่านอยู่ตกใจมาก พอหายตกใจได้สติก็หันมาดูหลวงพ่ออี๋ ซึ่งตรงกับเวลา ๒๑.๐๕ น. ท่านก็นั่งสงบปราศจากลมหายใจเข้าออกเสียแล้ว ข่าวการการมรณภาพก็กระจายไปทั่วกิ่งอำเภอสัตหีบอย่างรวดเร็ว

          สิริรวมอายุของท่านได้ ๘๒ ปี ชีวิตหรือวิญญาณของหลวงพ่ออี๋ แม้จะจากไปจนถึงปัจจุบันนี้ แต่ก็เหมือนว่าชีวิตของท่านยังดำรงอยู่ ทั้งคุณค่าของงานทางฝ่ายสงฆ์และฝ่ายสังคมโลกที่หลวงพ่ออี๋ได้บำเพ็ญบารมีมาตั้งแต่เริ่มบวชจนถึงมรณภาพ บารมีของท่านยังปรากฏอยู่ในวัดสัตหีบ ดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้

 

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.dharma-gateway.com

                          https://th.wikipedia.org/wiki/พระครูวรเวทมุนี_(อี๋_พุทธสโร)