“ตัวชา อิ่มใจ”.....ธงทองย้อนอดีตพระสุรเสียงแรกที่ได้ยินกับหูตัวเองจวบจนวันสวรรคต“ขับรถไร้จุดหมายนอนไม่หลับ”เชื่อความงดงามของร.9ไม่มีข้อจำกัด

“ตัวชา อิ่มใจ”.....ธงทองย้อนอดีตพระสุรเสียงแรกที่ได้ยินกับหูตัวเองจวบจนวันสวรรคต“ขับรถไร้จุดหมายนอนไม่หลับ”เชื่อความงดงามของร.9ไม่มีข้อจำกัด

ถือเป็นหนึ่งในข้าราชบริพารที่ทำงานรับใช้เบื้องพระยุคลบาทในหลวง รัชกาลที่ 9 มาค่อนชีวิต สำหรับนายธงทอง จันทรางศุ อดีตปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี นักกฏหมายมหาชน ผู้เชี่ยวชาญด้านพระราชพิธีสำคัญๆต่างๆ ดังจะเห็นได้จากการได้รับมอบหมายให้เป็นผู้บรรยายงานพระราชพิธีสำคัญๆต่างๆมามากมายหลายสิบปี ล่าสุดในเฟซบุ้คส่วนตัวที่ชื่อ Tongthong Chandransu ได้นำบทสัมภาษณ์ของตัวเองต่อสื่อมวลชนถึงความประทับใจที่มีต่อพ่อหลวงของแผ่นดินมาเผยแพร่ใจความว่า  
“ผมอยากเฝ้าท่านอย่างเดิมอีกครั้ง ริมถนนตรงไหนก็ได้” ความทรงจำประทับใจของ ธงทอง จันทรางศุ
 

“ตัวชา อิ่มใจ”.....ธงทองย้อนอดีตพระสุรเสียงแรกที่ได้ยินกับหูตัวเองจวบจนวันสวรรคต“ขับรถไร้จุดหมายนอนไม่หลับ”เชื่อความงดงามของร.9ไม่มีข้อจำกัด

 

“ผ่านไปเกือบปีแล้ว แต่เหตุการณ์ทั้งหลายยังมีความสำคัญกับความทรงจำของเรามาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ประทับอยู่ในโรงพยาบาลมาหลายปี ทุกคนติดตามข่าวคราวแต่ละครั้งแต่ละคราวที่มีคำแถลงการณ์อย่างใส่ใจเป็นพิเศษ วันไหนที่ท่านเสด็จออกไปปฏิบัติพระราชกรณียกิจ ทรงสำราญอยู่ข้างนอกได้บ้าง วันนั้นทุกคนมีความสุข ต้องรีบกลับบ้าน ต้องดูข่าวสองทุ่มให้ได้” ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ เล่าย้อนด้วยแววตาเศร้า

 

ย่ำค่ำวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 หลังข่าวการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้รับการเผยแพร่ผ่านแถลงการณ์ของสำนักพระราชวัง ประชาชนไทยที่เฝ้าติดตามข่าวพระอาการตลอดระยะเวลาที่ประทับรักษาพระองค์ที่โรงพยาบาลศิริราชต่างตกอยู่ในความตระหนก เสียงร่ำไห้อาลัยที่มีต่อพ่อของแผ่นดินดังขึ้นสุดประมาณ ต่อเนื่องและยาวนาน จากวันนั้นจวบวันนี้ เป็นเวลาเกือบหนึ่งปี ทว่าน้ำตาแห่งความเสียใจยังไม่เหือดหาย  หวนรำลึกถึงความประทับใจในชีวิตที่มีต่อในหลวงรัชกาลที่ 9 ผ่านเรื่องราวที่เคยได้สัมผัสจากวัยเยาว์วันนั้นสู่วัยปัจจุบันในวันนี้ของศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ

 

 

ครั้งแรกในชีวิตที่ได้เฝ้ารับเสด็จ

เมื่อผมเป็นเด็กครับ บ้านผมอยู่ตรงซอยอารีย์ ถนนพหลโยธิน เวลานั้นยังไม่มีถนนวิภาวดีรังสิต การเดินทางจากดอนเมืองเข้ากรุงเทพฯ ต้องใช้ถนนพหลโยธินเท่านั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จเยือนต่างประเทศ คือ ไปประเทศในยุโรปและอเมริกาสิบกว่าประเทศด้วยกัน เป็นเวลาหลายเดือน เวลาที่ท่านเสด็จนิวัติพระนคร เราเรียกว่าอย่างนั้น เป็นต้นปี 2504 ถ้าหักกลบลบหนี้แล้วผมอายุประมาณ 5 ขวบเห็นจะได้ ยกครัวไปหมดแทบจะไม่มีใครอยู่บ้านเลย ออกไปรับเสด็จตรงปากซอยอารีย์ ณ เวลานั้น มีการสร้างซุ้มรับเสด็จอย่างสวยงาม และถนนพหลโยธินก็ไม่ได้ใหญ่โตนัก มีต้นไม้ต้นใหญ่ขึ้นร่มครึ้มสองข้างทาง ผมไปพร้อมญาติพี่น้อง ก็ตื่นเต้นกับการที่ได้เห็นขบวนรับเสด็จพระราชดำเนินจากดอนเมืองเข้าสู่ตัวเมืองกรุงเทพฯ ชั้นใน นอกจากเห็นขบวนเสด็จเป็นยังไงแล้ว ที่สังเกตเห็นได้และจำได้ก็คือ เรื่องของความยินดี เรื่องของความยิ้มแย้มแจ่มใสของคนที่ไปรับเสด็จในวันนั้น

 
ในวัยเด็กมีครั้งไหนที่ได้เข้าเฝ้าใกล้ชิดที่สุด

ไปรับเสด็จที่วัดพระแก้ว แลดูใกล้ชิดมากขึ้น เพราะอยู่ริมถนนขบวนผ่านไปแป๊ปเดียว เราก็โบกธงยิ้มแย้มแจ่มใสร้องไชโย ใครๆ ก็ย่อมทราบดีว่าพระเจ้าอยู่หัวเสด็จไปบำเพ็ญพระราชกุศล ไปในงานพิธีการสำคัญต่างๆ ที่วัดพระแก้วอยู่เนืองๆ อย่างน้อยปีละสามสี่ครั้ง ก็มีคนจำนวนมากไปเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทเพื่อจะทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายพวงมาลัยถวายดอกไม้ ผมไปกับญาติผู้ใหญ่ พวงมาลัยก็ไม่ได้ไปสั่งชาววังหรือไปซื้อจากร้านวิจิตรพิสดารที่ไหน ซื้อแถวๆ ท่าช้างนั่นแหละ แล้วก็เข้าไป มีพานอยู่ในบ้านอยู่แล้วก็พกติดตัวไป ใช้พานนั้นใส่ดอกไม้ถวาย ได้เห็นอีกอย่างหนึ่งก็คือ เรื่องของคนที่มาเฝ้ารับเสด็จนั้นนำเอาผ้าขาว ผ้าเช็ดหน้าสะอาดปูด้วยความมุ่งหมายที่จะให้ทรงประทับรอยพระบาทแล้วนำกลับไปเป็นเครื่องบูชาสักการะ ปูทับไปบนลาดพระบาทที่เป็นลาดพระบาทสีน้ำตาลที่เจ้าหน้าที่เขาปูเสร็จเรียบร้อยแล้ว ประชาชนก็เรียงรายอยู่สองฟากฝั่งแน่น

เสด็จพระราชดำเนินก็น่าจะประมาณสักสี่โมงเย็น เราเห็นตั้งแต่ท่านทรงพระดำเนินมาจากประตูเกยด้านหลังวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เป็นความตื่นเต้นของชีวิตในวัยเด็กที่เราจะได้ถวายพระเจ้าอยู่หัว ตอนถวายท่านทรงรับสั่งว่า “ขอบใจ” เป็นพระสุรเสียงแรกที่ได้ยินกับหูตัวเอง ผมรู้สึกว่าตัวชา และเป็นความอิ่มใจที่ท่านทรงรับสั่งแก่เรา ทรงรับสั่งกับเด็กเล็กๆ คนหนึ่งที่นำพวงมาลัย ซึ่งก็ไม่ได้สวยงามอะไรไปถวาย สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นกับผมเท่านั้น แต่เกิดขึ้นกับคนทุกคนที่อยู่ในวัดพระแก้ว ผมยังเสียดายที่ไม่ได้เตรียมผ้าขาวไปปูเพื่อจะได้มีโอกาสให้ท่านประทับรอยพระบาทและนำกลับมาเคารพบูชา มานึกถึงเวลานี้ก็สายไปแล้ว วันคืนอย่างนั้นมันไม่ย้อนกลับมาให้ผมทำได้อีกแล้ว

 

ตอนพระองค์ท่านรับสั่งว่า “ขอบใจ”เห็นพระพักตร์พระองค์ไหม

ผมไม่กล้ามองท่าน ผมรู้สึกว่าการจะเงยหน้าขึ้นหรือไปสบพระเนตรไปมองพระพักตร์จะทำให้ผมทำอะไรผิดอีกเยอะแยะมากมาย ไม่มั่นใจในตัวเอง เพราะบารมีของท่านนั้นเป็นที่ล้นที่พ้น ที่จริงก็เป็นปกติวิสัยของคนไทยทั้งหลายรวมทั้งผมด้วย ว่าเวลาไปทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายข้าวของอะไรก็แล้วแต่ โดยมากแล้วเราไม่กล้าสบสายพระเนตร ไม่กล้ามองพระพักตร์ท่าน ถามว่าอยากไหม ก็อยากนะครับ แต่ว่าเกรงพระบารมีอย่างหนึ่ง คำว่าเกรงพระบารมีนี่ไม่ได้แปลว่าถ้ามองแล้วท่านจะมาลงโทษลงทัณฑ์อะไรหรอก แต่ว่าเราเองจะงันงกตกประหม่า แล้วเราเองก็จะเสียกิริยา

ฉะนั้นในวันนั้นที่ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายพวงมาลัย มือผมอยู่ที่ไหนตาผมอยู่ตรงนั้น เห็นแค่พระหัตถ์ท่านมารับพวงมาลัยไป ผมคิดว่านั่นก็เป็นสิ่งที่เราประพฤติปฏิบัติอยู่ทั่วไปในกรณีที่เราไปพบผู้หลักผู้ใหญ่ทั้งหลายยิ่งท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดิน การที่จะไปสบตามองพระเนตรท่านนั้น ไกลเกินความคาดหมายของตัวเอง และก็ทำเช่นนั้นมาโดยตลอดชีวิต

 

ย้อนกลับไปก่อนหน้าวันที่คนไทยไม่อยากให้เกิด

ก่อนสวรรคต วันนั้น (12 ตุลาคม 2559) คนไทยแทบไม่เป็นอันทำมาหากิน ไม่ได้มีชีวิตอยู่เป็นปกติสุขเลย ข่าวเล่าลือหนาหูมากว่าพระอาการเป็นที่น่าวิตกกังวล ข่าวลือนั้นไปเร็วกว่าเรื่องจริงในพระอาการด้วยซ้ำไป แต่ทุกคนก็โล่งอกที่สุดท้ายก็ไม่จริง มีแถลงการณ์สำนักพระราชวัง คือของคณะแพทย์ตอนค่ำวันที่ 12 ผมคิดว่าเป็นแถลงการณ์ที่ทุกคนรอฟังอยู่ว่าเรื่องจริงเป็นอย่างไร แต่แถลงการณ์วันที่ 12 ก็ทำให้เรารู้ว่าข่าวลือยังไม่จริง แต่ก็ไม่ควรวางใจเลย

 ในค่ำวันที่ 12 ผมได้รับการติดต่อจากเพื่อนฝูงที่จุฬาฯ ว่าวันที่ 13 เขาจะนัดกัน มีงานสวดโพชฌังคปริตร ซึ่งเป็นการสวดบทพระพุทธมนต์ที่บำบัดโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลาย จะสวดกันที่ศาลาพระเกี้ยว เวลาห้าโมงเย็น ผมบอกว่าผมจะไปด้วย ถ้าย้อนกลับไปดูสื่อทั้งหลาย ดูเฟซบุ๊ก เช้าวันที่ 13 ทุกคนจะเปลี่ยนรูปเป็นโคฟเวอร์เพจของตัวเอง ชื่อของตัวเอง และก็มีข้อความว่ารักพระเจ้าอยู่หัว อะไรประมาณนี้ สีชมพู ผมว่าทั้งประเทศนะ

 

13 ตุลาคม พ.ศ. 2559วันที่คนไทยหัวใจสลาย

วันที่ 13 ตอนเช้าผมยังทำงานเป็นปกติอยู่ เกษียณแล้วแต่ยังไประชุมนั่นประชุมนี่ ผมยังไปประชุมกฤษฎีกา ตอนกลางวันมีนัดหมายมาก่อนหน้านั้นแล้วหละ ท่านเอกอัครราชทูตสิงคโปร์ซึ่งคุ้นเคยกันมานานปี ท่านชวนผมทานข้าวกลางวันที่ทำเนียบท่าน เวลาที่ทานข้าวอยู่กับท่านทูตน่ะไม่ได้เป็นสุขเลย เพราะมีความกังวลว่าอะไรจะเกิดขึ้น

ในเวลานั้นก็เริ่มมีเสียงพูดกันในกรุงเทพฯ แล้วว่าพระอาการไม่ดี ประมาณสักเที่ยงก็มีคนโทรศัพท์มาหาผม ผมก็เสียมารยาทบอกท่านทูตว่าผมขออนุญาตรับโทรศัพท์นะ อย่างไรผมก็ต้องอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง คนโทรมาก็เป็นคนที่มีความเป็นห่วงเป็นใยเหมือนผมนั่นแหละ มีความเคลื่อนไหวที่ศิริราชว่าคนไปมาก เจ้านายหลายพระองค์เสด็จไปที่นั่นแล้ว เป็นเครื่องชี้วัดบอกอะไรสักอย่างว่าเหตุการณ์ไม่ปกติขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายผมทนรับประทานอาหารต่อไม่ไหว

ผมก็บอกท่านทูตว่าผมขอประทานอภัยเถอะ ผมร้อนใจเกินไปผมทานข้าวไม่ได้ ผมก็มาจุฬาฯ ก็เข้าไปดูศาลาพระเกี้ยวที่เขาจะจัดการสวดมนต์เจอใครก็ทำท่าเหมือนจะร้องไห้ใส่กัน

แต่สุดท้ายเราบอกว่าตราบใดที่ยังไม่มีรายงานเราจะสวดมนต์ พระมาเกือบๆ หกโมง วันนั้นผมทำหน้าที่เป็นอุปนายกสภาของมหาวิทยาลัย เป็นผู้ไปเปิดกรวยถวายธูปเทียนแพหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ แล้วก็กราบลงกับพื้นที่หน้าพระบรมฉายาลักษณ์ อยากร้องไห้มากในเวลานั้น แต่ไม่ใช่เวลาที่จะมาฟูมฟายเวลานี้ ก็ไปนั่งฟังพระสวดมนต์ ช่วยทุกคนสวดมนต์ พระสวดมนต์เสร็จเกือบๆ ทุ่มพอดี ก็เป็นเวลาที่สำนักพระราชวังมีประกาศเรื่องเสด็จสวรรคต คราวนี้ก็เป็นทางการในสิ่งที่เรากลัวมาตลอดบ่าย

 

 ประคองจิตใจตัวเองอย่างไรหลังทราบข่าว

หลังงานสวดมนต์เลิกแล้ว ผมกลับบ้าน มีคนขับรถให้ ถ้าขับเองก็ไม่ไหวใจมันเหนื่อยเหลือเกิน พอขึ้นรถปุ๊บก็ร้องไห้มาก ไม่เคยพบประสบการณ์อย่างนี้มาก่อน ประมาณสี่ทุ่มกว่า ก็ควรจะกลับบ้านนอนได้ แต่ผมนอนไม่ได้ ผมขับรถไปไหนก็ไม่รู้ จะไปศิริราชก็คงเข้าไม่ถึงไหน โดยยังหาคำอธิบายอย่างอื่นไม่ได้นะ ผมขับรถไปที่วังหลัง

เวลานั้นก็เริ่มปิดการจราจรบางพื้นที่แล้ว ผมขับรถอ้อมไปทางธรรมศาสตร์ วัดมหาธาตุ แล้วก็ไปกลับรถอยู่ตรงท่าช้าง ตรงมุมมหาวิทยาลัยศิลปากร ยกมือขึ้นถวายบังคมพระเจ้าอยู่หัวทุกรัชกาล ไม่รู้จะทูลอะไร ไม่รู้จะนึกอะไรได้ ยกมือถวายบังคม คืนนั้นนอนไม่หลับ เช้าก็ลุกขึ้นแต่งตัวไว้ทุกข์ ออกจากบ้านไป ในซอยอาภาภิรมย์ ปากซอยผมเห็นภาพที่ไม่เคยเห็นมาก่อน คือมีแต่คนแต่งดำ ผมไม่คิดว่าเราไว้ทุกข์เพราะมีประกาศ แต่เราไว้ทุกข์เพราะทุกข์

 
“ตัวชา อิ่มใจ”.....ธงทองย้อนอดีตพระสุรเสียงแรกที่ได้ยินกับหูตัวเองจวบจนวันสวรรคต“ขับรถไร้จุดหมายนอนไม่หลับ”เชื่อความงดงามของร.9ไม่มีข้อจำกัด

กราบถวายบังคมน้อมส่งเสด็จสู่สวรรค์ในวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ผมเป็นข้าราชการผู้ใหญ่ถึงแม้เกษียณอายุแล้ว ถ้าหากว่าแต่งเครื่องแบบให้ถูกระเบียบเรียบร้อยไปในพระบรมมหาราชวังก็คงมีตำแหน่งเฝ้าที่จะอยู่ในพระราชพิธี นั่นเป็นทางเลือกหนึ่งแต่อีกทางเลือกหนึ่งที่ผมเลือกเอง ผมเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวครั้งแรกริมถนนพหลโยธิน และในวันนี้ผมอยากเฝ้าท่านอย่างเดิมอีกครั้ง แต่จากเด็กห้าขวบกลายเป็นประชาชนที่อายุมากหน่อย ไปอยู่ริมถนนตรงไหนก็ได้

ผมไปหน้าหอศิลป์เจ้าฟ้าที่เป็นโรงกษาปณ์เก่า คนมากมายไม่มีที่จะไปหย่อนตัวลงได้ ผมยืนเก้ๆ กังๆ อยู่กลางถนน มันไม่มีที่อื่นแล้ว นั่งลงที่พื้นถนนนี่แล้วกัน นึกว่าถ้าตำรวจให้ขยับก็จะขยับตามเขาสั่ง ถ้าเขาไม่ว่าอะไรก็จะนั่งอยู่ตรงนี้แหละ นั่งเป็นแนว พอผมนั่งลงคนอื่นก็นั่งต่อๆ กันไปทางเชิงสะพานปิ่นเกล้า ซ้ายขวาหน้าหลังโดยรอบก็มีคนอีกมากมายมหาศาล บางทีเราก็คุยกันฆ่าเวลา มาจากไหน มาจากราชบุรี นครปฐม ตอนเช้ามาไม่ได้เลยนะ เพิ่งมาถึงบ่าย อยากมาแต่เช้าแล้วแต่ต้องให้ยาคุณยายก่อน เสร็จธุระถึงมา ต่อรถเมล์มา เดินเข้ามา

ที่แปลกตอนแรกนึกว่าคนวัยผมเท่านั้นที่จะมาตรงนี้ เพราะเห็นพระเดชพระคุณท่านมาตลอดชีวิตของเรา แต่ว่าแปลกนะ เด็กนิสิตนักศึกษานักเรียนไม่ได้มากับพ่อแม่ มากันเอง มาเป็นหมู่คณะ มาเป็นกลุ่มย่อย เป็นของแปลกสำหรับผม อาจจะเกินความคาดหมาย ในที่นั้นผมรู้สึกว่าเราเหมือนครอบครัวขนาดใหญ่ ไม่มีเหตุกระทบกระทั่งกันเลยนะ ที่จะมาทะเลาะกันฉันจะยืนตรงนี้เธออย่าบัง ฉันจะนั่งตรงนั้นเธอขยับไป ไม่ ไม่มีความบาดหมางอะไรเกิดขึ้น ใครมีน้ำเอามาแบ่งปันกัน ผมไม่เคยรู้สึกว่ามีสมาชิกในครอบครัวมากเท่านี้มาก่อน เป็นครอบครัวที่ใหญ่มาก และทุกคนมาด้วยความรู้สึกเดียวกัน

คนที่ติดตามข้อมูลทางโทรศัพท์เขาบอกว่าขบวนเชิญพระบรมศพตอนนี้จะออกจากศิริราชแล้ว เราก็ลุกขึ้นขยับท่าทางตัวเองให้อยู่ในกิริยาที่จะกราบได้ ถวายบังคมได้ แต่ก็แน่นเหลือเกิน สุดท้ายผมเป็นแถวที่สอง ข้างหน้าเป็นลูกศิษย์ แต่ก็ไม่ต้องขยับเปลี่ยนอะไรหรอก ตอนแรกเตรียมธูปเทียนจะไปจุดตามธรรมเนียมโบราณ ผมเป็นคนโบราณ แต่จุดแล้วไม่รู้จะไปปักที่ไหน พื้นเป็นถนนซีเมนต์ทั้งนั้น สุดท้ายก็นึกถึงธูปเทียนที่เตรียมมาจึงพนมในมือตัวเอง ยกขึ้นเหนือศีรษะ ถวายบังคมแล้วก็กลับมาจุดที่บ้านแล้วกัน ก็เห็นรถพระที่นั่ง เห็นขบวนเชิญพระบรมศพลงมาจากสะพานปิ่นเกล้า ผมอยู่แถวที่สอง คุกเข่า พนมมือ ร้องไห้ 

 

พูดไม่ถูกหรอกว่ารู้สึกอย่างไร เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยมีมาก่อนในชีวิต


ความทรงจำในรัชกาลที่ 9
ชีวิตผมรู้สึกว่าเป็นวงจรที่ขึ้นต้นด้วยการชมพระบารมีท่านครั้งแรกอยู่ริมถนนพหลโยธินตอนห้าขวบ แล้วก็ได้กราบถวายบังคมท่านอยู่ริมถนนเจ้าฟ้า เมื่อตัวเองเกษียณอายุราชการแล้ว แต่เรื่องงดงามทั้งหลายที่เกิดขึ้นในรัชกาลของท่านที่ได้ฟังจากคนอื่นก็ดี ได้รู้ได้เห็นด้วยตัวเองก็ดี สิ่งเหล่านี้ไม่มีข้อจำกัดเรื่องเวลา อยู่กับเราตลอดเวลา และคิดว่าไม่ได้อยู่กับผมโดยลำพังเท่านั้น ก็อยู่กับคนไทยทั้งหลาย สิ่งที่ท่านได้ปฏิบัติพระองค์ สิ่งที่ท่านได้สอนเรา ทั้งด้วยถ้อยพระวาจา ด้วยทั้งการปฏิบัติเป็นแบบอย่าง สิ่งเหล่านี้เป็นของมีค่ามาก ผมคิดว่าการสนองพระมหากรุณาธิคุณนั้นก็คงทำได้หลายวิธีด้วยกัน ความพร้อมเพรียงที่เราจะปฏิบัติในงานวันถวายพระเพลิง ที่เราจะได้เห็นในอีกไม่กี่วันข้างหน้าก็ดี เป็นความตั้งใจที่ทุกคนช่วยกันทำความดีถวายเป็นพระราชบูชาพระราชสักการะ จิตอาสาทั้งหลายเป็นคนที่โชคดีเหลือเกินที่ได้ทำงานเกี่ยวข้องกับงานพระเมรุคราวนี้ ผมอิจฉาเขานะ ผมก็อยากจะทำ แต่ว่าแต่ละคนก็มีหน้าที่ต่างต้องทำ ใครก็ทำดีที่สุดทั้งนั้น พ้นงานพระเมรุไปแล้วพระมหากรุณาธิคุณก็ไม่ได้หายไปไหน ก็ยังอยู่กับเรา

สิ่งที่ท่านบอกเรา สิ่งที่ท่านทำให้เราดู ก็ยังอยู่ในความทรงจำของเรา เพราะว่าเราก็ยังมีหน้าที่ทำให้สิ่งที่ท่านสอนเรา สิ่งที่ท่านบอกเรา สิ่งที่เราทำถวายท่านได้นั้นเป็นรูปธรรมที่ยังอยู่ไปในวันข้างหน้า ไม่ได้จบสิ้นแค่วันนี้.

“ตัวชา อิ่มใจ”.....ธงทองย้อนอดีตพระสุรเสียงแรกที่ได้ยินกับหูตัวเองจวบจนวันสวรรคต“ขับรถไร้จุดหมายนอนไม่หลับ”เชื่อความงดงามของร.9ไม่มีข้อจำกัด