ปปป. เตรียมสอบเงินทอนวัดเฟส 3 พบวัดทั่วประเทศเกี่ยวข้องมากกว่า 100 วัด เชืี่อมโยงผู้กระทำผิดจากเฟส 1 และ เฟส 2

ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. พันตำรวจเอก วรายุทธ สุขวัฒน์ธนกุล รองผู้บังคับการ กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ หรือ ปปป. ได้นำสำนวนคดีทุจริตเงินทอนวัด 21 คดี จำนวน 33 แฟ้ม มีเอกสารทั้งสิ้น
13,265 แผ่น โดยมีรถปิคอัพตราโล่ห์ 1 คัน นำขบวน ขณะที่สำนวนนำใส่ไว้ในรถตู้ 1 คัน

โดยพันตำรวจเอก วรายุทธ สุขวัฒน์ธนกุล รองผู้บังคับการ ปปป. เปิดเผยว่า ยังมีสำนวนอีก 2 สำนวน ของ 2 วัด ซึ่งจะนำมาส่งในวันศุกร์ที่ 29 ก.ย. นี้  โดยในสำนวนคดี 21 เรื่อง มีผู้ต้องหา 19 คน ซึ่งในจำนวนนี้รวมพระสงฆ์ 4 รูป 

สำหรับความเสียหายของคดีมีการโอนงบประมาณจำนวน 188 ล้านบาท ไปในวัดต่างๆ 23 วัด มีการทอนเงินคืนหรือสร้างความเสียหายมากกว่า 141 ล้านบาท โดยล็อตที่ 1 มีความเสียหาย 64 ล้านบาท ล็อตที่ 2 มีความเสียหาย 140 ล้านบาท
คิดเป็นมูลค่าความเสียหายรวมกันประมาณ 200 ล้านบาท

ปปป. เตรียมสอบเงินทอนวัดเฟส 3 พบวัดทั่วประเทศเกี่ยวข้องมากกว่า 100 วัด เชืี่อมโยงผู้กระทำผิดจากเฟส 1 และ เฟส 2

ทั้งนี้ ปปป. ยังมีข้อมูลที่จะดำเนินการต่อในการตรวจสอบการทุจริตเงินทอนวัดล็อตที่ 3 ไม่ต่ำกว่า 100 วัดทั่วประเทศ โดยบางส่วนเป็นงบประมาณประเภทเดียวซึ่งพบการทุจริตชัดเจน ซึ่งเป็นข้อมูลจากพันตำรวจโท พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ที่ได้ดำเนินการไว้ก่อนพ้นจากตำแหน่ง โดยมีพฤติกรรมคล้ายๆ กับล็อต 2 ซึ่งล็อต 2 เป็นงบทั้ง 3 ประเภท คือ บูรณะปฏิสังขรณ์ เผยแผ่พระพุทธศาสนา และงบปริยัติธรรม เบื้องต้นพบว่าในความผิดล็อต 3 ที่จะมีการตรวจสอบงบประมาณบางส่วนมีมูลค่าสูงมาก ซึ่งพบว่ามีผู้ที่เกี่ยวข้องบางส่วนเป็นกลุ่มเดียวกับล็อต 1 และ ล็อต 2 โดยเกิดจากการตรวจสอบข้อมูลซึ่งพบการกระทำผิด 2 สาย นั่นก็คือสายผู้อำนวยการ 2 คน

ทั้งนี้ การตรวจสอบในล็อตที่ 2 ใช้เวลา 3 เดือน ในการตรวจสอบ 47 วัด และพบความผิด 23 วัด จึงคาดว่าการตรวจสอบในล็อตที่ 3 ก็จะทำการตรวจสอบง่ายขึ้น เพราะเริ่มคุ้นเคยกับการตรวจสอบการหาหลักฐานและมีฐานข้อมูลเดิมที่พงให้ไว้ คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 3-4 เดือน น่าจะได้ข้อยุติ แต่ยังคงมีเรื่องอื่นอีกเยอะที่จะต้องมีการชี้แจงภายหลัง เพราะอาจเป็นการกล่าวหาหน่วยงานอื่นบางหน่วยได้ ซึ่งต้องตรวจสอบความชัดเจนต่อไป

สำหรับการเปลี่ยนแปลงภายในสำนักงานพระพุทธศาสนานั้นไม่มีผลกับการทำคดีของตำรวจ เนื่องจากในขณะที่อดีตผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาดำรงตำแหน่งก็ได้รับความร่วมมือจากภายใน พศ. เป็นอย่างดี

ปปป. เตรียมสอบเงินทอนวัดเฟส 3 พบวัดทั่วประเทศเกี่ยวข้องมากกว่า 100 วัด เชืี่อมโยงผู้กระทำผิดจากเฟส 1 และ เฟส 2

ส่วนจะมีความผิดที่เกี่ยวข้องกับพระผู้ใหญ่ในมหาเถรสมาคมหรือไม่นั้น การทุจริตเกิดจากเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งเจ้าหน้าที่ระดับเล็กคงไม่สามารถทำได้ขนาดนี้ต้องเป็นเจ้าหน้าที่ระดับชั้นผู้ใหญ่ เมื่อเป็นเจ้าหน้าที่ระดับชั้นผู้ใหญ่เป็นผู้ดำเนินการเมื่อระดับกลางร่วมกระทำผิดด้วย งบประมาณที่จะไปถึงวัดก็ง่ายขึ้น ซึ่งระดับผู้อำนวยการ รองผู้อำนวยการ และผู้อำนวยการกอง เป็นตัวจักรสำคัญในการทำให้เกิดกระบวนการทุจริตซึ่งโดยทั่วไปวัดจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่เมื่อเงินไปถึงวัดก็จะมีการส่งเจ้าหน้าที่ระดับกลางและระดับรองลงไปประสานงานเพื่อเอาเงินทอนคืนมา เมื่อวัดได้รับการติดต่อขอเงินทอนคืนก็แก้ไขอะไรไม่ได้ เพราะมีการโอนเงินไปเรียบร้อยแล้ว ยืนยันว่า 99% วัดไม่มีส่วนรู้เห็น บางครั้งที่มีพระเข้าไปเกี่ยวข้องก็จะเป็นเรื่องของความคุ้นเคยและเป็นเรื่องส่วนตัว

ส่วนที่มีข่าวว่ามีพระรูปหนึ่งที่ดำรงตำแหน่งเป็นเลขาธิการของพระผู้ใหญ่ในมหาเถรสมาคม หรือ  มส. นั้น จากการตรวจสอบยืนยันว่าเป็นความผิดส่วนตัวไม่เกี่ยวกับเจ้าอาวาสแต่ละวัด ยกเว้นบางวัดที่เจ้าอาวาสร่วมกระทำผิด ซึ่งเป็นที่ทราบเป็นอยู่แล้วนอกนั้นทางวัดหรือเจ้าอาวาสไม่มีส่วนรู้เห็นตั้งแต่ต้น

สำหรับความคืบหน้าในการรายงานตัวของพระ 4 รูป ในวันนี้(26 ก.ย.) พระครูวิสุทธิ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชสิทธาราม มารับทราบข้อกล่าวหาเพียงรูปเดียว ส่วนอีก 3 รูปยังไม่มีการติดต่อมา ซึ่งเมื่อสำนวนส่งถึง ป.ป.ช. ก็ถือว่าหมดหน้าที่ของ ปปป.

อย่างไรก็ดี ได้มีหนังสือกราบทูลสมเด็จพระสังฆราชในฐานะประธานมหาเถรสมาคมเพื่อทรงทราบ ซึ่งหลังจากนี้ก็เป็นเรื่องของ มส. ที่จะดำเนินการต่อในทางสงฆ์ และมีหนังสือแจ้งรายชื่อผู้ต้องหา 19 ราย ไปยัง ผอ.พศ. แล้ว 

ขณะเดียวกัน ในส่วนของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในคดีก็ได้มีการรายงานไปยังศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ หรือ ศอตช. ซึ่งเป็นเรื่องของหน่วยงานที่จะดำเนินการทางวินัยและทางปกครอง
 เช่น พักงาน หรือ พ้นจากหน้าที่ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของหน่วยงาน ซึ่งในจำนวนข้าราชการที่เกี่ยวข้อง 13 คนมี 4-5 รายที่เกษียณอายุราชการแล้ว

นายสุทธิ บุญมี ผอ.สำนักสืบสวนและกิจการพิเศษ ป.ป.ช. เปิดเผยว่า
ในส่วนของ ป.ป.ช. จะมีการนำสำนวนคดีที่ได้รับในครั้งนี้ไปพิจารณารวมกับล็อตที่ 1 
เพื่อเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบและแสวงหาข้อเท็จจริง โดย ป.ป.ช. อยู่ระหว่างการตรวจสอบสำนวนเพื่อพิจารณาตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน ซึ่งอาจมีการตั้งคณะกรรมการชุดใหญ่และตั้งอนุกรรมการมากกว่า 1 ชุด เพื่อพิจารณาตรวจสอบการทุจริตเงินทอนวัดในล็อตที่ 1 และ ล็อตที่ 2 เพื่อความรวดเร็วในการทำงาน สำหรับวัดที่กระจายอยู่ในภาคต่างๆ ก็จะให้เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ในระดับภาคหรือระดับจังหวัดร่วมกันตรวจสอบด้วย