ร้องขอความเป็นธรรม!! "น้องหวาน" เพาะกายสาวทีมชาติ ตกเป็นเหยื่อถูกรีดไถเงิน20ลบ. จาก"ปลัดเทศบาล"พื้นที่จ.สมุทรปราการ!!(ฟังคลิป)

   วันนี้ ( 1 ต.ค.) เมื่อเวลา 12.00 น.ที่ กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ทนาย สงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และคณะทำงานฝ่ายกฎหมายช่วยเหลือประชาชน ได้นำ น.ส.กมลวรรณ จารุไพโรจน์ หรือน้องหวาน นักกีฬาเพาะกายหญิงทีมชาติไทย พร้อมด้วย นางสุนันท์ จารุไพโรจน์ มารดา และ น.ส.พรพิมล จารุไพโรจน์ พี่สาว เข้าร้องทุกข์ขอความเป็นธรรม กรณีถูกกลุ่มบุคคลร่วมกันข่มขู่ และถูกเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และในความผิดอื่นที่เกี่ยวข้อง พร้อมนำหลักฐานซึ่งเอกสารและคลิปเสียง มามอบให้ตำรวจ เพื่อยืนยันการเรียกรับผลประโยชน์ในลักษณะแบ่งหน้าที่กันทำเป็นขั้นเป็นตอน และเป็นกระบวนการ

 

 

นายสงกรานต์  อัจฉริยะทรัพย์  ประธานเครือข่ายต่อต้านการ บ่อนทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และคณะทำงานฝ่ายกฏหมายช่วยเหลือประชาชน นำนางสาวกมลวรรณ จารุไพโรจน์ หรือ น้ำหวาน นักกีฬาเพาะกายหญิงทีมชาติไทย พร้อม นางสุนันท์ จารุไพโรจน์ มารดา และ นางสาวพรพิมล จารุไพโรจน์ พี่สาว  เข้าร้องทุกข์ขอความเป็น ธรรม กับ พันตำรวจเอกชาคริต สวัสดี รอง ผู้บังคับการปราบปราม หลังถูกกลุ่มคนที่เป็นข้าราชการในพื้นที่ เรียกรับเงินก่อสร้างอพาร์ตเม้น ท์ในจังหวัดสมุทรปราการ

 

โดย นางสุนันท์ ผู้เสียหาย ระบุว่า ตนเองได้วางแผนก่อสร้างอพาร์ทเม้นท์กว่า 80ล้านบาท ในพื้นที่ จังหวัดสมุทรปราการ แต่รองนายก อบต. ในสมัยนั้น ได้แนะนำนายช่างโยธา  ให้มาดำเนินการเขียนแบบและรับเหมาก่อสร้าง ตนเองจึงเกิดความเชื่อใจ เนื่องจากเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ และไม่น่าจะผิดระเบียบก่อสร้าง  กระทั่งเริ่มก่อสร้างอาคารในปี 2550 แล้วเสร็จในปี 2552 จำนวน สองอาคารและก่อสร้างอีก2อาคารโดยได้รับอนุญาตในปี2556

.

 

 

ต่อมาในปี2557 ปลัดเทศบาลในพื้นที่ได้มาเรียกรับเงินจำนวน 20 ล้านบาท แต่ตนเองไม่ได้จ่าย และพยายามเจรจา ทางปลัดจึงขอเรียกรับเงินเพียง5 ล้านบาท แต่ตนเองก็ไม่ยินยอมที่จะจ่าย เพราะมั่นใจว่าที่ผ่านมาก่อสร้างถูกต้องตามกฎหมาย แต่ในวันที่ 21 กันยายน 2560 กลับมีการติดป้ายห้ามใช้อาคาร และห้ามบุคคลภายนอกเข้าออก เพื่อเตรียมทำการรื้อถอน ตนเองจึงไปยื่นอุทธรณ์คำสั่ง กับเทศบาลแต่ไม่เป็นผล จึงไปฟ้องร้องศาลปกครอง เพื่อยกเลิกคำสั่งรื้อถอนอาคาร จึงเดินทางเข้าแจ้งความความกองปราบเพื่อดำเนินการกับข้าราชการและนักการเมืองท้องถิ่น เพราะเชื่อว่ามีการกระทำผิดเป็นกระบวนการ ใน 3ข้อหา ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ,เป็นพนักงานเรียกรับสินบน ,ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ และหลังจากนี้ จะเดินทางไปร้องเรียนกับกระทรวงมหาดไทย เพื่อร้องขอความเป็นธรรม

 

 

ด้าน พ.ต.อ.ชาคริต กล่าวว่า เบื้องต้นได้รับเรื่องไว้ก่อน โดยมอบหมายให้พนักงานสอบสวน กก.2 บก.ป.สอบปากคำผู้ร้องทุกข์ และตรวจสอบข้อเท็จจริงจากหลักฐานที่ได้รับมา อย่างไรก็ตามสำหรับพยานหลักฐานต่างๆ พบว่ายังมีไม่ครบถ้วน จึงแจ้งให้ผู้ร้องได้กลับไปจัดเตรียมมาเพิ่มเติม ได้แก่ แบบแปลนการก่อสร้างอาคาร เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาดำเนินคดี ซึ่งหลังจากนี้จะต้องประสานไปยังวิศวกรรมสถาน จัดส่งเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญเพื่อช่วยตรวจสอบกรณีการก่อสร้างอาคารดังกล่าวว่าถูกต้องตามแบบแปลนหรือไม่ ส่วนกรณีที่ผู้ร้องอ้างว่าถูกข่มขู่ เรียกรับเงินนั้น ก็จะต้องสืบสวนหาข้อเท็จจริงต่อไป