ติดตามเรื่องราวดีๆอีกมากมาย ได้ที่ http://www.tnews.co.th

หลวงปู่สี วัดเขาถ้ำบุญนาค นครสวรรค์

ผจญช้างป่า

ครั้งหนึ่งเมื่อหลวงปู่ไปนมัสการพรพุทธบาทสี่รอย ตอนเช้าท่านก็ได้ไปนมัสการพระพุทธบาทสี่รอยเป็นประจำทุกวันแต่น่าประหลาดบริเวณรอยพระพุทธบาทสะอาดเรียบร้อยไม่เปรอะเปื้อน ทั้งๆ ที่ไม่มีคนอยู่ทำความสะอาด ต่อมาก็ได้เห็นช้างป่าหลายเชือกมาทำความสะอาดในตอนเช้าเป็นประจำ โดยการใช้งวงปัดเป่าทำความสะอาดได้อย่างยอดเยี่ยมท่านเล่าว่า ด้วยการที่อยู่ใกล้กัน และเห็นกันอยู่ทุกวันเป็นประจำ ทำให้ช้างเหล่านั้นเกิดความสนิทสนมกับท่านเป็นอย่างดี จนในเวลาต่อมาช้างเหล่านั้นได้นำหัวบัวบ้าง กระจับบ้าง และน้ำอ้อยมาถวายท่านได้ฉันอย่างไม่ขาด ช้างเหล่านั้นมันปฏิบัติได้เหมือนคนไม่มีผิด แม้พวกช้างเหล่านั้นจะเป็นช้างป่าก็ตาม แต่ก็เชื่องเหมือนช้างบ้าน

เมื่อท่านได้นมัสการพระพุทธบาทสี่รอยและปฏิบัติธรรมนานพอสมควรแล้ว ท่านจึงเดินทางกลับเพื่อไปแสวงหาความวิเวกที่อื่นต่อไป ในวันที่ท่านเดินทางกลับนั้น หลังจากฉันอาหารที่เหล่าฝูงช้างป่านำมาถวาย และบอกว่าวันนี้ท่านจะเดินทางกลับแล้ว ช้างป่าเหล่านั้นก็พร้อมใจกันเดินทางมาส่งท่านที่เชิงเขาด้วยความอาลัย

พลันหัวหน้าโขลง ชูงวงเปล่งเสียงร้องดังก้องป่า..ทุกตัวพร้อมใจคุกเข่าให้ " หลวงปู่สี " พร้อมนำทางออกส่งชายป่า อย่างน่าอัศจรรย์.

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ที่หลวงปู่เดินธุดงค์ไปในป่าลึก ขณะที่หลวงปู่เดินอยู่ในป่าดงดิบนั้น ท่านก็ได้พบช้างโขลงใหญ่ ช้างป่าทุกเชือกมีลักษณะโหดร้าย โดยเฉพาะเชือกจ่าฝูง รูปร่างสูงใหญ่งายาว มันยืนจ้องมองมายังหลวงปู่ พอหลวงปู่เห็นท่านก็ยืนสงบแผ่เมตตาให้พญาช้าง และทุกๆ เชือกในโขลงนั้น…พลันเชือกที่เป็นหัวหน้าโขลง ก็ชูงวงขึ้นพร้อมเปล่งเสียงร้องดังก้องป่า ในสภาพบรรยากาศเช่นนี้หากไม่ใช่หลวงปู่แล้ว นับว่าเป็นช่วงที่น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง แต่หลวงปู่ท่านอยู่ในอาการสงบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

พอสิ้นเสียงร้องก้องกังวานของหัวหน้าโขลง ช้างป่าทุกเชือกก็ย่อตัวลงหมอบอยู่กับพื้นพร้อมชูงวงขึ้น ประหนึ่งเป็นการแสดงคารวะอย่างน้อมน้อมต่อหลวงปู่สี ผู้มีเมตตาธรรมและความบริสุทธิ์ ต่อจากนั้นหัวหน้าโขลงก็เดินเข้ามาหมอบอยู่ตรงหน้าท่าน ต่อจากนั้นช้างอีกเชือกก็เข้ามาใช้งวงช้อนร่างหลวงปู่ให้ขึ้นไปนั่งบนคอของหัวหน้าโขลง ทุกอย่างเป็นไปอย่างอัศจรรย์ยิ่ง ต่อจากนั้นมันก็ลุกขึ้นเดินนำโขลงไปส่งท่าน ผ่านป่าดงดิบจนถึงชายป่า

ตอนเช้าวันหนึ่ง พวกชาวบ้านป่าได้มาพบเห็นเหตุการณ์มหัศจรรย์เช่นนั้น ต่างก็ก้มลงกราบหลวงปู่ และนำอาหารมาถวาย ถามหลวงปู่ว่าทำอย่างไรช้างป่าจึงไม่ทำร้าย และยังมาส่งหลวงปู่อีก ชาวบ้านเขตชายแดนไทยพม่า ทราบดีมาช้างป่าโขลงนี้เป็นช้างป่าที่โหดร้ายที่สุดในแถบนั้น แต่น่าอัศจรรย์ที่ช้างป่าไม่ทำร้ายหลวงปู่สี หลังจากหลวงปู่สีฉันอาหารเสร็จ ท่านให้ให้ศีลให้พรชาวบ้านป่า และถามถึงเส้นทางที่จะเดินทางไป

พลันหัวหน้าโขลง ชูงวงเปล่งเสียงร้องดังก้องป่า..ทุกตัวพร้อมใจคุกเข่าให้ " หลวงปู่สี " พร้อมนำทางออกส่งชายป่า อย่างน่าอัศจรรย์.

 

ประวัติหลวงปู่สี ฉันทสิริ ชาติภูมิ หลวงปู่สี ท่านเป็นชาวอำเภอรัตนะ จังหวัดสุรินทร์ ท่านเกิดเมื่อปีจอ พ.ศ.๒๓๙๒ ตรงกับสมัยของรัชกาลที่๔ ส่วนเกิด วัน เดือน ใด ท่านไม่เคยบอก เมื่ออายุ ๒๑ ปี ท่านถูกเกณฑ์เข้ารับราชการทหาร เมื่อปลดจากการเป็นทหารแล้วท่านก็มายึดอาชีพค้าวัว ค้าควาย และเป็นพรานอยู่แถว ช่องแค-ตาคลี ซึ่งแต่เดิมมีสภาพเป็นป่าดงดิบ และยังไม่ได้ตั้งเป็นอำเภอตาคลี เมื่อมีการใช้นามสกุลขึ้น ตระกูลของท่านก็ใช้นามสกุลว่า “ดำริ” ชีวิตตอนเป็นหนุ่ม ท่านเป็นคนจริงไม่เคยเกรงกลัวใคร

ท่านใช้ชีวิตความเป็นหนุ่มอยู่นานหลายปี จนกระทั่งบังเกิดความเบื่อหน่ายทางโลก จึงได้อุปสมบท โดยท่านบอกว่า ท่านบวชที่วัดบ้านเส้า อำเภอบ้านเส้า (อำเภอบ้านหมี่ ในปัจจุบัน) โดยมีพระครูธรรมขันธ์สุนทร เป็นพระอุปัชฌาย์ ส่วนคู่สวดท่านไม่ได้บอกว่ามีพระอาจารย์รูปใดบ้าง เมื่อบวชได้ระยะหนึ่งท่านได้เดินทางมาจำพรรษาอยู่ที่ ถ้ำเขาเสียบ เขตตำบลช่องแค อำเภอตาคลี เพราะว่าก่อนบวชท่านเคยอยู่ในเขตนี้มาก่อน

หลวงปู่ท่านถือปฏิบัติในการออกธุดงค์ ตลอดเวลาที่ท่านยังมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ท่านบอกว่าท่านธุดงค์ไปทั่วประเทศไทย จากเหนือถึงใต้ ตะวันออกถึงตะวันตก ท่านไปมาทั้งหมดเคยธุดงค์ไปฝั่งประเทศลาว จำพรรษาอยู่ในประเทศลาวหลายปี ธุดงค์เข้าประเทศพม่าเลยไปประเทศอินเดีย ไปนมัสการสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา ท่านยังเล่าว่ามีอยู่ครั้งหนึ่ง ท่านธุดงค์ไปภาคเหนือ เพื่อจะไปนมัสการพระบาทสี่รอย เมืองเชียงตุง ประเทศพม่า ท่านเดินหลงป่าไม่ได้ฉันอะไรเลยเป็นเวลา ๗ วัน จนรุ่งเช้าของวันที่ ๘ มีช้างป่านำหัวบัว และอ้อยมาถวายท่าน (ไม่ทราบว่าเป็นเทวดา หรือว่าเทวานุภาพดลใจให้ช้างนำมาถวาย ?) ท่านจึงนำหัวบัวต้มกับน้ำอ้อยฉัน และช้างยังเดินนำทางท่านไปจนพบกับบ้านของชาวบ้านป่า ท่านเล่าว่า ท่านเดินธุดงค์อยู่ในป่าแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ พบชายหญิงกำลังกินอะไรกันอยู่ ท่านจึงเดินไปถามว่า ทำอะไรกันอยู่หรือ ทั้งสองก็ตอบหลวงปู่ว่ากำลังกินยาอายุวัฒนะกันอยู่แต่หลวงพ่อมาช้าไป ยาหมดเสียแล้วจะมีเหลืออยู่ก็ตามใบไม้เท่านั้นเอง และทั้งสองคนก็เก็บยาที่ติดอยู่ตามใบไม้ให้ท่านฉัน ซึ่งมีอยู่เล็กน้อยเท่านั้น ท่านบอกว่าที่ท่านมีอายุยืนก็เพราะยานี้แหละ และยานี้ยังทำให้ท่านมีร่างกายแข็งแรง ไม่หลงลืมเหมือนคนแก่ทั่วๆไป

พลันหัวหน้าโขลง ชูงวงเปล่งเสียงร้องดังก้องป่า..ทุกตัวพร้อมใจคุกเข่าให้ " หลวงปู่สี " พร้อมนำทางออกส่งชายป่า อย่างน่าอัศจรรย์.

ขอขอบคุณท่านเจ้าของภาพ และที่มาเนื้อหาข้อมูล

 ตำนานเล่าขานพระผู้ทรงฌานอภิญญา ครูบาอาจารย์ผู้เรืองวิชาอาคม

 http://ศิษย์หลวงปู่สี.com

เพื่อเผยแผ่กิตติคุณเป็นสังฆบูชา