“ขุดหลุมฝังโบกปูนแม้ว”.อัยการสูงสุด ป.ป.ช. เล็งฟื้นคดีความผิดอาญายาวเป็นหางว่าว  ทั้งคดีกรุงไทย กรณีแปลงสัญญาสัมปทานเอื้อตัวเอง

“ขุดหลุมฝังโบกปูนแม้ว”.อัยการสูงสุด ป.ป.ช. เล็งฟื้นคดีความผิดอาญายาวเป็นหางว่าว ทั้งคดีกรุงไทย กรณีแปลงสัญญาสัมปทานเอื้อตัวเอง

แม้จะวุ่นอยู่กับกรณีเตรียมให้ทนายจ่อฟ้องพวกที่เอาชื่อตัวเองไปเกี่ยวข้องกับแก๊งค์หมิ่นสถาบันเบื้องสูง  แต่ล่าสุด “นายหัวนายใหญ่” อย่างนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯคนที่ 23 แต่ล่าสุดตัวเองก็อาจซวยอาจโดนคดีเพิ่มอีกเช่นกัน หลังมีโปรดเกล้าฯ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2560 ออกมาเมื่อปลายเดือนที่แล้ว  

โดยเฉพาะในมาตรา 28  ที่ระบุว่าในกรณีที่ศาลประทับรับฟ้องไว้แล้ว และศาลได้ส่งหมายเรียกและสําเนาฟ้องให้จําเลยทราบโดยชอบแล้วแต่จําเลยไม่มาศาล ให้ศาลออกหมายจับจําเลย และให้ผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการติดตามหรือจับกุมจําเลยรายงานผลการติดตามจับกุมเป็นระยะตามที่ศาลกําหนด

ในกรณีที่ได้ออกหมายจับจําเลยและได้มีการดําเนินการตามวรรคหนึ่งแล้ว แต่ไม่สามารถจับจําเลยได้ภายในสามเดือนนับแต่ออกหมายจับ ให้ศาลมีอํานาจพิจารณาคดีได้โดยไม่ต้องกระทําต่อหน้าจําเลย แต่ไม่ตัดสิทธิจําเลยที่จะตั้งทนายความมาดําเนินการแทนตนได้ และรวมถึงในบทเฉพาะกาลมาตรา 69 ที่สรุปว่า

บทบัญญัติในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ไม่กระทบต่อการดําเนินการใด ในคดีที่ยื่นฟ้องไว้และได้ดําเนินการไปแล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ ใช้บังคับ

 

 

งานนี้เรียกว่าอาจทำให้นายทักษิณถูกตัดสินคดีเพิ่มขึ้นและอาจติดคุกเพิ่มอีก  หลังจากกฎหมายดังกล่าวออกมาทางอัยการสูงสุดมีสิทธิ์ขอให้ศาลฏีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองรื้อฟื้นคดีขึ้นได้อีก หลังจากจำหน่ายคดีของอดีตนายกฯออกจากสารระบบเนื่องจากนายทักษิณหนีคดีไปต่างประเทศ  

โดยขณะนี้นายทักษิณมีคดีสำคัญที่อยู่ในมือของอัยการสูงสุด 2 คดีคือ 1.คดีทุจริตการปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทย ที่ศาลฎีกาฯ ได้ตัดสินจำคุกผู้เกี่ยวข้อง อาทิ  นายวิโรจน์ นวลแข อดีตกรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงไทย กับพวกไปแล้ว  และเรื่องนี้ทาง “ลูกโอ๊ค” นายพานทองแท้ ชินวัตร ก็กำลังโดนข้อหาฟอกเงินเช่นกัน และ 2 . คดีแปลงสัญญาสัมปทานโทรคมนาคม เอื้อประโยชน์ธุรกิจของตัวเองและครอบครัว  

รวมถึงอีก 2 คดีที่อยู่ในมือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ    “ ป.ป.ช.” กับอดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐหรือ “คตส.” ยุคนายนาม ยิ้มแย้ม  คือ 1.คดีปล่อยกู้เงินให้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย หรือ “เอ็กซิมแบงก์”  และ 2. คดีหวยบนดิน 

 

ล่าสุดข่าวว่าทางอัยการสูงสุดโดยอัยการสำนักงานคดีพิเศษได้เตรียมศึกษาข้อเท็จจริงและตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อพิจารณาศึกษาสำนวนว่าคดีขาดอายุความหรือยัง พยานยังคงมีอยู่ไหม เอกสารหลักฐานมีมากน้อยเพียงใดหากจะมีการปัดฝุ่นดำเนินคดี ขณะที่ป.ป.ช. ก็เตรียมขยับเอาผิดนายทักษิณเช่นกันแต่ขอดูทางลมจากทางอัยการสูงสุดก่อน

แม้นายทักษิณจะหลบหนีคดีไปต่างประเทศและไม่สนใจเรื่องของการพิพากษาคดีต่างๆในเมือง ไม่ให้ความสำคัญกับศาลสถิตย์ยุติธรรมและกระบวนการต่างๆในบ้านเมืองแล้ว  แต่เชื่อว่าหากมีการรื้อฟืนคดีของนายทักษิณที่อยู่ในมือป.ป.ช.และคตส.จริง จนถึงขั้นตัดสินคดีทั้งหมดและพิพากษาความผิดของนายทักษิณได้จริง

ตรงนี้จะกลายเป็นการขุดหลุมฝังโบกปูนไม่ให้นายทักษิณคิดกลับเมืองไทยได้อีก เพราะคงมีความผิดตามมาอีกหลายคดีติดคุกอีกหลายปี  และในวัย 68 ปี ณ ปัจจุบันนี้คงยากจริงๆ ที่นายทักษิณจะกลับมาสู้คดีในเมืองไทย