- 31 ต.ค. 2560
FB : DEEPS NEWS
จากกรณีเว็บไซต์ iLaw เปิดเผยชื่อของการแต่งตั้งผู้มาช่วยงานคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ปรากฎว่ามีชื่อของ นางมยุระ ช่วงโชติ ลูกสาวของนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ มาเป็นรองเลขาธิการฯของนายมีชัย และรับเงินเดือนจำนวน 47,500 บาทนั้น
ขณะที่นายมีชัย ออกมาชี้แจงว่าการแต่งตั้ง นางมยุระ บุตรสาว เป็นเลขาฯของตนเอง ถือเป็นความจำเป็นส่วนตัว เพราะตำแหน่งดังกล่าวต้องเป็นบุคคลที่ไว้ใจและเชื่อใจได้ เพราะเรื่องของ คสช. นั้นจำเป็นต้องรักษาความลับ นอกจากนั้นตำแหน่งดังกล่าวทำหน้าที่เพียงชั่วคราว ไม่มีสำนักงาน และไม่มีประเด็นผลประโยชน์ใดๆ อีกทั้งบุตรสาวของตนได้รับแต่งตั้งตั้งแต่ที่ตนเข้ารับตำแหน่งคสช.แล้ว
“ผมอยู่นอกราชการแล้ว คงไม่สามารถทำเรื่องของยืมบุคคลให้ทำหน้าที่ได้ จึงเป็นความจำเป็นส่วนตัว ส่วนที่ถูกวิจารณ์ว่าอาจมีผลประโยชน์ทับซ้อน และเป็นเรื่องที่นักการเมืองถูกวิจารณ์นั้น ยืนยันว่าเขาไม่ได้มีประโยชน์อะไร ทำงานปกติ ส่วนการได้ค่าตอบแทน เป็นเรื่องปกติของคนทำงาน อย่างไรก็ดีประเด็นที่เปรียบกับนักการเมืองนั้น จริงแล้วนักการเมืองก็ไม่ได้มีอะไรห้ามตั้งลูก หรือภรรยามาทำหน้าที่ เว้นแต่ตำแหน่ง ส.ว.ที่ห้ามตั้งนักการเมือง หรือตำแหน่งรัฐมนตรีที่ต้องพิจารณาบุคคลเพราะเขามาใช้ในงานราชการใหญ่โต”
ล่าสุดวันนี้(31ต.ค.) นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้ส่งหมายข่าวแจ้งต่อสื่อมวลชนต่อกรณีดังกล่าว โดยมีเนื้อหาระบุดังนี้
เรียน ทุกท่าน
ร้องผู้ตรวจการแผ่นดินเอาผิดหน.คสช.-มีชัย กรณีแต่งตั้งลูกสาวมากินตำแหน่งรองเลขาธิการ
1)ตามที่ปรากฏเป็นการทั่วไปว่า หัวหน้า คสช. ได้แต่งตั้งบุตรสาวของนายมี ชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. และมือกฎหมายของ คสช.ให้ดำรงตำแหน่ง “รองเลขาธิการ” ประจำตัวของนายมีชัย โดยได้รับเงินค่าตอบแทนจากภาษีของประชาชนจำนวน 47,500 บาท มาตั้งแต่เดือนธันวาคม 2557 มาจนถึงปัจจุบันนั้น
การกระทำดังกล่าว เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กันและกันของ หน.คสช.และประธาน กรธ. โดยใช้เงินภาษีของประชาชนเป็นค่าตอบแทน ผ่านกลไกที่แยบยลด้วยการกำหนดอัตราตำแหน่งและค่าตอบแทนของผู้ปฏิบัติงานใน คสช. โดยการออกประกาศ คสช.ที่ 93/2557 ซึ่งฝ่ายกฎหมายเป็นคนยกร่างนั่นเอง
การใช้อำนาจของหัวหน้า คสช. และประธาน กรธ. จึงเข้าข่ายการขัดกันแห่งผลประโยชน์ของรัฐ และขัดต่อระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง 2551 ข้อ 8 ข้อ 14 ข้อ 16 และข้อ 22 และยังขัดต่อ พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2542 และแก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 100 และมาตรา 103 โดยชัดแจ้ง
สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงไม่อาจปล่อยให้ผู้ถืออำนาจดังกล่าวดำเนินการใช้อำนาจไปโดยฟังเสียง และขัดต่อกฎหมายได้ จึงจำต้องนำความไปร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อดำเนินการไต่สวนเอาผิดและดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป โดยจะเดินทางไปยื่นคำร้องในวันพุธที่ 1 พฤศจิกายน 2560 เวลา 10.30 น. ณ สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ชั้น 9 ห้อง 903 ศูนย์ราชการฯ อาคาร B เพื่อระงับยับยั้งการใช้อำนาจที่ไม่ถูกต้องของผู้มีอำนาจข้างต้นต่อไป
จาก
ศรีสุวรรณ จรรยา
เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย